07 กันยายน 2560

10 เหตุผล ทำไมคุณถึงไม่ควร “แคร์ความคิดของคนอื่น” จนเกินไป?


“การที่คุณเอาแต่ใส่ใจสิ่งที่คนอื่นคิด คุณจะตกเป็นจำเลยของพวกเขาตลอดไป” – เล่าจื้อ (LAO TZU)
ธรรมชาติของมนุษย์ต้องการที่จะได้รับการยอมรับ แต่อย่างไรก็ตามมันมักนำไปสู่ความกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นคิดต่อตัวเองมากจนเกินไป ซึ่งอาจทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจกับตัวเองและคนอื่นได้ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรปล่อยให้มันมากีดกันความคิดและความก้าวหน้าในชีวิตอีกต่อไปได้
และต่อไปนี้เป็นเหตุผล 10 ประการ ว่าทำไมคุณถึงไม่ควรสนใจเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นคิด

1. ชีวิตเป็นของคุณ ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคนอื่น

คนอื่นมีสิทธิ์ที่จะคิดอะไรก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ และคุณเองก็เช่นเดียวกัน ความคิดเห็นคนอื่นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนหรือคุณค่าในตัวคุณได้ เว้นแต่ว่าคุณจะยอมให้พวกเขาทำ และท้ายที่สุดแล้ว คุณก็เป็นคนเดียวเท่านั้นที่ต้องเลือกเส้นทางเดินให้ชีวิตตัวเอง

2. พวกเขาไม่รู้หรอกว่าอะไรดีที่สุดสำหรับคุณ

คุณเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับตัวเอง และได้เรียนรู้จากทางที่เลือกเอง การเรียนรู้อย่างแท้จริง คือการตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวคุณเองและพร้อมจะรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อผลที่ตามมา ถ้าล้มเหลว อย่างน้อยคุณก็ได้เรียนรู้และยอมรับมันได้อย่างเต็มปากเต็มคำ แทนที่จะไปโทษคนอื่นว่าเป็นเพราะใคร

3. สิ่งที่ใช่สำหรับคนอื่น อาจจะไม่ใช่สำหรับตัวคุณก็ได้

สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าความคิดเห็นของคนเรามักจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่ทำนั่นแหละ ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนอื่นก็อาจเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดสำหรับคุณ และสิ่งที่คนอื่นมองว่าไร้ค่าก็อาจเป็นสิ่งมีค่า สำหรับอีกคนได้ เราทุกคนล้วนมีคุณค่าและเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงมีแค่เราเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรเหมาะกับตัวเราที่สุด

4. การกังวลสิ่งที่คนอื่นคิด จะทำให้คุณล้มเลิกการทำตามความฝันของคุณ

หากคุณเป็นกังวลอยู่ตลอดเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นคิด คุณจะไม่มีทางที่จะไปถึงที่ที่คุณฝันไว้ได้เลย บางครั้งคุณก็ต้องทำในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นด้วย หรือต้องเอาชื่อเสี่ยงของตนไปเสี่ยง เพื่อจะได้มาซึ่งสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ 

5. ผลลัพธ์เกิดกับตัวคุณ ไม่ใช่คนอื่น

คุณเป็นคนที่ต้องรับผลจากการกระทำและการตัดสินใจของตัวเอง ตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนแนะนำให้คุณซื้อหุ้น แต่แล้วหุ้นดันตกจนคุณขาดทุนมหาศาล คุณนี่แหละที่ต้องอยู่กับความเสียดาย ไม่ใช่ใครอื่น จงจำไว้ว่าเมื่อมีคนแนะนำหรือสั่งอะไรคุณ ไม่ใช่พวกเขาหรอกที่ต้องแบกรับความเสี่ยง แต่เป็นคุณเองต่างหาก

6. ความคิดของผู้คนเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ

คนเราเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา นักปรัชญาและนักทฤษฎีบางคนเสนอว่า คนเราอยู่ในสภาวะที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา จนไม่สามารถมี ‘ตัวตน’ ที่เฉพาะเจาะจงหรือตายตัวได้ ดังนั้น ความคิดและมุมมองของคนจึงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ นั่นหมายความว่าแม้ว่าตอนนี้บางคนจะไม่ชอบคุณ แต่ไม่นานพวกเขาก็อาจจะเปลี่ยนความคิดไปก็ได้ เพราะงั้นความคิดของคนอื่นถึงไม่ค่อยสำคัญเท่ากับความคิดที่แน่วแน่ของคุณยังไงล่ะ

7. ชีวิตสั้นเกินกว่าที่จะเอาเวลามาใส่ใจเรื่องพวกนี้

คุณมีชีวิตเพียงครั้งเดียว ดังนั้นคุณต้องใช้มันให้คุ้มที่สุด ทำไมต้องไปกังวลเรื่องความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยล่ะจริงไหม ทำในสิ่งที่คุณคิดและตั้งใจไว้เถอะ เพราะหลังจากที่คุณประสบความสำเร็จ คุณก็อาจจะไม่ได้เห็นคนเหล่านี้มาพูดพึมพำให้ฟังอีกต่อไปแล้วก็ได้นะ

8. ทำอะไรไปก็ได้รับผลอย่างนั้น

การกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับตัวคุณ อาจจะทำให้เรื่องแย่ๆ กลายเป็นจริงขึ้นมาได้  บ่อยครั้งที่คนส่วนใหญ่หลงทางเพียงเพราะแค่ต้องการไล่ตามการยอมรับจากคนอื่น ซึ่งบางคนก็กลายเป็นคนที่เอาใจคนอื่นมากเกินไป หรือไม่ก็หัวอ่อนจนทำให้คนมองว่าน่าเบื่อได้ ก็กลายเป็นว่าพฤติกรรมที่คุณทำเพื่อให้คนอื่นชอบใจนั้น กลับเป็นเหตุผลที่ทำให้คนอื่นไม่ชอบคุณขึ้นมาได้เหมือนกัน

9. คนอื่นไม่ได้ใส่ใจคุณมากเท่าที่คุณคิดหรอก

ความจริงที่น่าเศร้าก็คือ คนเราไม่ได้สนใจเรื่องคนอื่นมากขนาดนั้น พวกเขาสนใจสิ่งต่างๆ เพียงเพราะปัจจัยง่ายๆ แค่ว่ามันเกี่ยวข้องกับพวกเขาหรือไม่ก็เท่านั้น ถ้าตัวตนหรือการกระทำของคุณไม่ได้ไปกระทบชีวิตคนอื่นเข้า พวกเขาก็แทบจะไม่สนใจคุณเลยแม้แต่น้อย

10. เป็นไปไม่ได้เลย ที่คุณจะทำให้ทุกคนพอใจ

คุณไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ตลอดเวลา และก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตอบสนองต่อทุกความคาดหวังของทุกคน ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอดทนฝืนทำอย่างนั้น เพราะคนแรกที่คุณควรจะทำให้พึงพอใจให้ได้มากที่สุดก็คือตัวคุณเองไงล่ะ
ความคิดของคนอื่นๆ อาจกลายเป็นภาระต่อคุณได้ เมื่อคุณหมกมุ่นกับมันจนเกินไป ซึ่งคุณอาจลืมไปแล้วก็ได้ว่าตัวเองคิดอย่างไร ดังนั้น การได้ปลดปล่อยตัวเองจากความคิดคนอื่นนี่แหละที่ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ แม้ว่าอาจต้องใช้เวลาฝึกฝนมากสักหน่อย แต่หากเมื่อไหร่ที่คุณทำได้สำเร็จล่ะก็ คุณจะได้เห็นโลกในมุมใหม่ ได้ค้นพบตัวตนของตัวเอง และเป็นอิสระอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยล่ะ

21 สิงหาคม 2560

19 เหตุผล ทำไมชีวิตคุณถึง “ไม่ก้าวไปไหน” สักที?


การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้คนส่วนใหญ่ เวลาที่คุณยึดติดตัวเองกับสิ่งต่างๆ คุณอาจจะรู้สึกว่าคุณไม่รู้จะเดินไปทางไหนต่อดี และชีวิตก็กำลังบอกคุณเช่นกันว่า มันถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องหาความเปลี่ยนแปลงในชีวิตซึ่งบ่อยครั้งที่เหล่าคนที่ประสบความสำเร็จก็อาจต้องเริ่มต้นจากสัญญาณเหล่านี้เช่นกัน

และต่อไปนี้เป็น 19 เหตุผลที่ทำให้ชีวิตคุณไม่ก้าวไปไหนสักที่ พร้อมทั้งวิธีแก้ไขเบื้องต้น

1. คุณไม่รู้จักพอ
ถ้าคุณมองไปในสิ่งที่คุณมีอยู่ แล้วคุณรู้สึกทุกข์ใจและต้องการมีมากกว่านี้เยอะๆ งั้นแสดงว่าก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้คุณพอใจได้เลยสิ แม้แต่ปัจจุบันตอนนี้ของคุณเอง แต่หากคุณมองไปแล้วรู้สึกภูมิใจสุขใจกับสิ่งที่คุณมีในวันนี้ แล้วคุณจะรู้สึกเสมอว่าคุณนั้นมีมากพอกว่าที่คุณต้องการแล้ว
2. คุณคิดว่าชีวิตมีข้อจำกัด
ข้อจำกัด เป็นสิ่งที่คุณกำหนดขึ้นมาเองทั้งนั้น หากคุณใช้จินตนาการและความมุ่งมั่นของคุณพุ่งเป้าไปที่จุดหมายที่หวังไว้ ความสามารถของมนุษย์เรานั้นไร้ขีดจำกัด จงเชื่อมั่นไว้เถอะว่าทุกสิ่งที่คุณตั้งใจล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น
3. คุณขาดความมั่นใจ
เราทุกคนมักมีเสียงคำถามมากมายเกี่ยวกับตัวเองในหัวว่า สิ่งนี้เหมาะสมไหม? สิ่งนี้ถูกต้องหรือเปล่า? หรือสิ่งนี้ดีไหมนะ? แต่ถ้าคุณเอาแต่ลังเลกับสิ่งเหล่านั้นจนเกินไป มันก็ยิ่งจะบั่นทอนกำลังใจคุณเองเปล่าๆ ดังนั้น เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้มากขึ้น คุณต้องบอกกับใจตัวเองให้หาวิธีใหม่ ๆ ในการรับมือและควบคุมจิตใจให้ได้
4. คุณรู้สึกว่าคุณควบคุมตัวเองไม่ได้
ความนิ่งเฉยเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุด หากคุณไม่ควบคุมชีวิตของคุณให้ดี ชีวิตจะกลายมาเป็นผู้ควบคุมคุณแทน ดังนั้น เริ่มต้นหักห้ามจิตใจและควบคุมชีวิตคุณ โดยอาจเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ และเริ่มขยายไปที่เรื่องที่ใหญ่ขึ้น ๆ จนสามารถเป็นนายของชีวิตตนเองได้ในที่สุด
5. คุณละเลยปัญหา
การละเลยไม่สนใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้ทำให้ปัญหาจากเราไปไหน แทนที่จะหลีกหนีปัญหา ลองเปลี่ยนมันเป็นการเผชิญหน้าแล้วหาวิธีแก้ไขมันอย่างชาญฉลาดจะดีกว่านะ
6. คุณหยุดวางแผนชีวิต
ความคิดที่ปราศจากแผนก็เป็นแค่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ ดังนั้น จงหาความศรัทธาของตัวเองให้เจอเพื่อเริ่มต้นตั้งเป้าหมายอีกครั้ง แล้วมุ่งมั่นในการกำหนดแนวคิดและวิธีการที่จะไปให้เป้าหมายนั้นของคุณ
7. คุณไม่ยอมลงมือทำ
แค่รู้ว่าทำอย่างไร นั้นมันไม่เพียงพอ การจะก้าวไปข้างหน้าได้คุณต้องลงมือทำ ลองกำหนดเป้าหมายเล็ก ๆ ที่สามารถทำได้ในทุกวัน และเริ่มต้นขยายเป้าหมายของคุณให้ใหญ่ขึ้นต่อไปเรื่อยๆ
8. คุณไม่เชื่อมั่นในตัวเอง
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของชีวิต คือการที่คุณประเมินตัวเองต่ำไป ลองปรับวิธีคิดและพูดกับตัวเองในเชิงบวกเข้าไว้ เชื่อมั่นกับสิ่งที่ทำและรายล้อมตัวเองด้วยผู้ที่เชือมั่นในตัวคุณ
9. คุณชอบคิดแง่ลบ
เป็นเรื่องยากหรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำที่เราจะได้รับผลดีจากการคิดลบ เพราะส่วนใหญ่แล้วมันกลับก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีด้วยซ้ำไป เมื่อคุณรู้สึกได้ว่าความคิดของคุณเริ่มเป็นไปในทางลบ ให้หยุดความคิดตัวเองทันที แล้วใช้เวลาต่อจากนั้นเพื่อไตร่ตรองว่าสิ่งแย่ ๆ ที่คุณคิดพวกนั้นมันมีผลต่อคุณอย่างไรในอนาคต
10. คุณยังคงทำสิ่งต่างๆ ในแบบที่เคยทำมา
เมื่อคุณก็ไม่คิดจะยอมเปลี่ยนวิธีการ ผลลัพธ์ที่ได้นั้นก็ออกมาเหมือนเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย สุดท้ายมันก็ไม่เกิดความก้าวหน้าใดๆ ขึ้นเลย ดังนั้น จงหาจุดด้อยที่สุดในวิธีการทำงานของคุณ แล้วเริ่มเปลี่ยนแปลงมันสักที แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้อาจดีขึ้นหรือแย่ลง แต่คุณจะไม่มีทางยืนอยู่จุดเดิมตรงนั้นอีกต่อไป
11. คุณหยุดพยายาม
เวลาเป็นสิ่งมีค่า อย่าปล่อยให้มันผ่านไปโดยไม่ทำอะไรเลย ไม่ว่าคุณจะอยู่สถานะใดหรือกำลังทำอะไรก็ตาม จงเตือนตัวเองทุกครั้งว่าคุณสมควรได้รับโอกาสที่ดีที่สุดในการนำพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จ อย่าหยุดพยายาม และลองเริ่มต้นจากเป้าหมายเล็ก ๆ ก็ได้
12. คุณโทษตัวเองว่า คุณมีต้นทุนชีวิตไม่เท่าคนอื่น
แม้ว่าคุณจะไม่ได้มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการตอนนี้ แต่หากคุณลองใช้ความคิดและความสามารถของคุณมาปรับใช้ร่วมกับสิ่งที่คุณมีอยู่ล่ะก็ ถึงแรกเริ่มเดิมทีต้นทุนของคุณจะมีอยู่น้อยสักเพียงใด แต่เชื่อเถอะว่าผลกำไรจากความสามารถของคุณมีมากมายกว่านั้นอย่างแน่นอน ดังนั้นเลิกโทษตัวเองได้แล้ว
13. คุณไม่มีความรับผิดชอบ
เมื่อคุณไม่สามารถรับผิดชอบสิ่งต่างๆ ได้ นั่นก็หมายความว่า คุณไม่สามารถไว้ใจตัวเองให้ทำสิ่งอื่นๆ ได้เช่นกัน จงเตือนตัวเองทุกวันว่าคุณต้องรับผิดชอบทั้งหน้าที่และคำพูดของตัวเอง และจำให้ขึ้นใจเสมอว่า ความรับผิดชอบ คือ สิ่งที่สำคัญที่สุด
14. จิตใจคุณไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เคยมีคนกล่าวว่าร้อยละ 80 ของความสำเร็จนั้นมาจากการที่คุณเผยความสามารถนั้นออกมา ดังนั้น จงอยู่กับปัจจุบันเข้าไว้ และอยู่ในที่ที่คุณจำเป็นต้องอยู่ อย่าได้วอกแวกไปกับสถานการณ์ต่างๆ
15. คุณกลัวความล้มเหลว
อย่าให้ชิวิตต้องหยุดชะงักเพราะความกลัว โปรดจำไว้ว่าถ้าคุณทำดีที่สุดแล้วแต่ยังล้มเหลว ยังไงคุณก็จะได้บทเรียนที่แสนมีค่าเพื่อฝึกฝนคุณให้พร้อมสำหรับความท้าทายนั้นอีกครั้ง ถ้าคุณเอาแต่ให้ความกลัวนำพาชีวิตคุณเดินไปข้างหน้า คุณจะไม่เหลืออะไรเลย นอกจากความเสียใจที่ไม่ได้ลงมือทำ
16. คุณดูถูกตัวเอง
ถึงแม้ เพื่อน คนรู้จัก หรือสมาชิกในครอบครัวคุณจะดูถูกดูแคลนคุณมากสักเพียงไหน โปรดอย่าได้เก็บคำพูดเหล่านั้นมาใส่ใจหรือท้อใจเลย จงโฟกัสที่ตัวเองเพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีที่สุด แล้วสักวันคุณจะพิสูจน์ให้พวกเขาได้เห็นเองว่าคุณทำได้
17. คุณขาดความกล้า
บ่อยครั้งที่เราคิดว่า ความกล้าหาญ คือการที่ไร้ซึ่งความกลัว แต่ไม่ใช่เลย เพราะคนที่กล้าหาญทุกคนนั้นล้วนมีความกลัวเหมือนกับเรานั่นแหละ แต่พวกเขาเอาชนะมันได้เพราะพวกเขามีความมุ่งมั่นที่มากกว่าเท่านั้นเอง
18. คุณเอาแต่เฝ้ารอเวลาที่เหมาะสม
คุณไม่จำเป็นต้องรอคำอนุญาตจากใคร เพราะเวลาที่เหมาะสมที่สุดนั้นไม่มีอยู่จริงหรอก จงเริ่มต้นจากสิ่งที่คุณมีและสิ่งที่คุณเป็นอยู่ เพื่อทำในสิ่งที่คุณสามารถทำได้ในตอนนี้ วินาทีนี้
19. คุณเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
นี่เป็นการกระทำที่เสียเวลาอย่างมาก เพราะไม่มีใครที่มีอะไรเหมือนกันทุกอย่าง จึงไม่มีเหตุผลใดเลยที่เราจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่นได้ ถ้าจะเปรียบเทียบล่ะก็ จงเปรียบเทียบกับตัวเองในอดีตนี่แหละว่าคุณก้าวผ่านอุปสรรคมาไกลแค่ไหนแล้ว และพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าให้ไกลกว่าเดิมหรือยัง

Source: Inc-asean

08 กรกฎาคม 2560

4 เคล็ดลับที่จะช่วยคุณก้าวออกจาก Comfort Zone

4 เคล็ดลับที่จะช่วยคุณก้าวออกจาก Comfort Zone



มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะนิสัยที่ต้องการความสะดวกสบายเพื่อลดความตึงเครียดของตนเองอยู่โดยตลอด ซึ่งมันคงเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก หากว่าเราจะต้องออกจากพื้นที่สุขสบาย (Comfort Zone) ของตนเอง แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้กันดีก็คือ ถ้าเราเลือกที่จะอยู่กับความกลัวและติดอยู่กับสิ่งที่คุ้นเคยไปตลอด เราก็คงต้องเดินตามหลังคนที่เขากล้าจะเดินออกมาจากจุดๆ นั้น และยิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ จนตามใครไม่ทัน

แล้วอะไรที่เป็นเคล็ดลับที่จะช่วยให้เราออกจากพื้นที่สุขสบายนี้ได้ล่ะ? มาดูกันเลยกับ 4 วิธีที่จะช่วยผลักคุณเข้าสู่โลกของการผจญภัยและการคว้าหาโอกาสใหม่ๆ ในชีวิต
1. ค้นหา “พื้นที่แห่งความกล้า” ของคุณ



พื้นที่แห่งความกล้าหาญนั้นมักจะอยู่ข้างนอกพื้นที่คอมฟอร์ทโซน ถ้าคุณยังไม่พร้อมก้าวกระโดดออกไปทีเดียว ก็สามารถก้าวออกไปอย่างช้าๆ ได้เช่นกัน โดยคุณจะต้องริเริ่มอะไรสักอย่างที่มันท้าทายและกระตุ้นคุณให้กล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ ซึ่งในพื้นที่แห่งความกล้าหาญนั้น เราอาจไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ แต่ว่ามันกลับเต็มไปด้วยโอกาสมากมายที่จะส่งผลต่อความก้าวหน้าในชีวิต


คุณจะต้องริเริ่มอะไรสักอย่างที่มันท้าทายและกระตุ้นคุณให้กล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่
2. ก้าวข้าม “พื้นที่แห่งความกลัว” ไปให้ได้




สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับความกล้าก็คือ ความหวาดกลัว เมื่อได้พบเจอกับพื้นที่แห่งความกล้าหาญแล้วก็จะต้องมาพบกับพื้นที่แห่งความหวาดกลัว คนแล้วคนเล่าที่ไม่สามารถก้าวข้ามมันไปได้เพราะกลัวที่จะลองสิ่งใหม่ แต่เชื่อเถอะว่ากุญแจสู่ความสำเร็จคือการที่คุณก้าวข้ามคอมฟอร์ทโซนไปแล้ว และได้ก้าวข้ามพื้นที่แห่งความกลัวไปได้อีกนั่นเอง ดังนั้น หากคุณลองกล้าสักครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปคุณก็จะยิ่งกล้าและยิ่งท้าทายมากขึ้นอย่างแน่นอน

หากคุณลองกล้าสักครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปคุณก็จะยิ่งกล้าและยิ่งท้าทายตนเองมากขึ้น
3. ให้โอกาสตัวเองได้เสี่ยงบ้าง



คุณเลือกจะอยู่กับสิ่งที่ปลอดภัยและคุ้นชินไปตลอด หรือ เลือกที่จะฉีกออกจากกรอบเล็กน้อยเพื่อก้าวไปข้างหน้าแบบสุดขีดดีล่ะ? การที่เราออกจากคอมฟอร์ทโซนไปได้นั้น บางครั้งมันก็ทำให้รู้สึกเหมือนว่าคุณไม่มีเกราะกำบังอะไรเหลืออยู่และกำลังเผชิญกับความเสี่ยง แต่นี่แหละที่เป็นส่วนสำคัญของความก้าวหน้าในชีวิต ลองออกไปท้าทายตัวเองดูบ้าง แล้วปล่อยให้ประสบการณ์สร้างภูมิคุ้มกันให้กับเรา

ลองออกไปท้าทายตัวเองดูบ้าง แล้วปล่อยให้ประสบการณ์สร้างภูมิคุ้มกันให้กับเรา
4. ค่อยเป็นค่อยไป



เชื่อเถอะว่า การจะออกจากคอมฟอร์ทโซนได้นั้น ล้วนต้องใช้ความพยายามอยู่พอสมควร ทุกครั้งที่คุณพยายามจะก้าวไปข้างหน้า จงประเมินตนเองอยู่เสมอว่าตอนนี้คุณมาถึงตรงจุดไหนแล้ว และวางแผนว่าคุณจะไปจุดไหนต่อไป จากนั้นจึงค่อยก้าวไปยังจุดหมายใหม่ๆ ที่คุณต้องการ ซึ่งนี่เป็นวิธีเพิ่มแรงผลักดันให้กับเราได้ ทำให้เราก้าวสู่โอกาสที่ยิ่งใหญ่ขึ้นและทำให้เราค่อยๆ ออกจากคอมฟอร์ทโซนไปได้นั่นเอง

เรามักจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสะดวกสบายที่คุ้นชิน เหมือนกับอยู่ในบ้านหลังหนึ่งที่คุณคิดว่าปลอดภัยและน่าอยู่ที่สุดแล้ว แต่ทว่าภายนอกลับมีสิ่งน่าค้นหาอยู่อีกมาก ซึ่งมันก็เป็นหน้าที่ของคุณแล้วล่ะที่ต้องลองก้าวออกจากประตูนั้นสักที เพื่อพบเจอสิ่งใหม่ๆ และเติบโตขึ้นไปกว่าจุดที่คุณยืนอยู่ตรงนี้

แล้วคุณพร้อมที่จะเริ่ม ‘ก้าวแรก’ ของคุณแล้วหรือยัง?