07 กันยายน 2560

10 เหตุผล ทำไมคุณถึงไม่ควร “แคร์ความคิดของคนอื่น” จนเกินไป?


“การที่คุณเอาแต่ใส่ใจสิ่งที่คนอื่นคิด คุณจะตกเป็นจำเลยของพวกเขาตลอดไป” – เล่าจื้อ (LAO TZU)
ธรรมชาติของมนุษย์ต้องการที่จะได้รับการยอมรับ แต่อย่างไรก็ตามมันมักนำไปสู่ความกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นคิดต่อตัวเองมากจนเกินไป ซึ่งอาจทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจกับตัวเองและคนอื่นได้ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรปล่อยให้มันมากีดกันความคิดและความก้าวหน้าในชีวิตอีกต่อไปได้
และต่อไปนี้เป็นเหตุผล 10 ประการ ว่าทำไมคุณถึงไม่ควรสนใจเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นคิด

1. ชีวิตเป็นของคุณ ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคนอื่น

คนอื่นมีสิทธิ์ที่จะคิดอะไรก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ และคุณเองก็เช่นเดียวกัน ความคิดเห็นคนอื่นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนหรือคุณค่าในตัวคุณได้ เว้นแต่ว่าคุณจะยอมให้พวกเขาทำ และท้ายที่สุดแล้ว คุณก็เป็นคนเดียวเท่านั้นที่ต้องเลือกเส้นทางเดินให้ชีวิตตัวเอง

2. พวกเขาไม่รู้หรอกว่าอะไรดีที่สุดสำหรับคุณ

คุณเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับตัวเอง และได้เรียนรู้จากทางที่เลือกเอง การเรียนรู้อย่างแท้จริง คือการตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวคุณเองและพร้อมจะรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อผลที่ตามมา ถ้าล้มเหลว อย่างน้อยคุณก็ได้เรียนรู้และยอมรับมันได้อย่างเต็มปากเต็มคำ แทนที่จะไปโทษคนอื่นว่าเป็นเพราะใคร

3. สิ่งที่ใช่สำหรับคนอื่น อาจจะไม่ใช่สำหรับตัวคุณก็ได้

สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าความคิดเห็นของคนเรามักจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่ทำนั่นแหละ ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนอื่นก็อาจเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดสำหรับคุณ และสิ่งที่คนอื่นมองว่าไร้ค่าก็อาจเป็นสิ่งมีค่า สำหรับอีกคนได้ เราทุกคนล้วนมีคุณค่าและเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงมีแค่เราเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรเหมาะกับตัวเราที่สุด

4. การกังวลสิ่งที่คนอื่นคิด จะทำให้คุณล้มเลิกการทำตามความฝันของคุณ

หากคุณเป็นกังวลอยู่ตลอดเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นคิด คุณจะไม่มีทางที่จะไปถึงที่ที่คุณฝันไว้ได้เลย บางครั้งคุณก็ต้องทำในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นด้วย หรือต้องเอาชื่อเสี่ยงของตนไปเสี่ยง เพื่อจะได้มาซึ่งสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ 

5. ผลลัพธ์เกิดกับตัวคุณ ไม่ใช่คนอื่น

คุณเป็นคนที่ต้องรับผลจากการกระทำและการตัดสินใจของตัวเอง ตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนแนะนำให้คุณซื้อหุ้น แต่แล้วหุ้นดันตกจนคุณขาดทุนมหาศาล คุณนี่แหละที่ต้องอยู่กับความเสียดาย ไม่ใช่ใครอื่น จงจำไว้ว่าเมื่อมีคนแนะนำหรือสั่งอะไรคุณ ไม่ใช่พวกเขาหรอกที่ต้องแบกรับความเสี่ยง แต่เป็นคุณเองต่างหาก

6. ความคิดของผู้คนเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ

คนเราเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา นักปรัชญาและนักทฤษฎีบางคนเสนอว่า คนเราอยู่ในสภาวะที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา จนไม่สามารถมี ‘ตัวตน’ ที่เฉพาะเจาะจงหรือตายตัวได้ ดังนั้น ความคิดและมุมมองของคนจึงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ นั่นหมายความว่าแม้ว่าตอนนี้บางคนจะไม่ชอบคุณ แต่ไม่นานพวกเขาก็อาจจะเปลี่ยนความคิดไปก็ได้ เพราะงั้นความคิดของคนอื่นถึงไม่ค่อยสำคัญเท่ากับความคิดที่แน่วแน่ของคุณยังไงล่ะ

7. ชีวิตสั้นเกินกว่าที่จะเอาเวลามาใส่ใจเรื่องพวกนี้

คุณมีชีวิตเพียงครั้งเดียว ดังนั้นคุณต้องใช้มันให้คุ้มที่สุด ทำไมต้องไปกังวลเรื่องความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยล่ะจริงไหม ทำในสิ่งที่คุณคิดและตั้งใจไว้เถอะ เพราะหลังจากที่คุณประสบความสำเร็จ คุณก็อาจจะไม่ได้เห็นคนเหล่านี้มาพูดพึมพำให้ฟังอีกต่อไปแล้วก็ได้นะ

8. ทำอะไรไปก็ได้รับผลอย่างนั้น

การกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับตัวคุณ อาจจะทำให้เรื่องแย่ๆ กลายเป็นจริงขึ้นมาได้  บ่อยครั้งที่คนส่วนใหญ่หลงทางเพียงเพราะแค่ต้องการไล่ตามการยอมรับจากคนอื่น ซึ่งบางคนก็กลายเป็นคนที่เอาใจคนอื่นมากเกินไป หรือไม่ก็หัวอ่อนจนทำให้คนมองว่าน่าเบื่อได้ ก็กลายเป็นว่าพฤติกรรมที่คุณทำเพื่อให้คนอื่นชอบใจนั้น กลับเป็นเหตุผลที่ทำให้คนอื่นไม่ชอบคุณขึ้นมาได้เหมือนกัน

9. คนอื่นไม่ได้ใส่ใจคุณมากเท่าที่คุณคิดหรอก

ความจริงที่น่าเศร้าก็คือ คนเราไม่ได้สนใจเรื่องคนอื่นมากขนาดนั้น พวกเขาสนใจสิ่งต่างๆ เพียงเพราะปัจจัยง่ายๆ แค่ว่ามันเกี่ยวข้องกับพวกเขาหรือไม่ก็เท่านั้น ถ้าตัวตนหรือการกระทำของคุณไม่ได้ไปกระทบชีวิตคนอื่นเข้า พวกเขาก็แทบจะไม่สนใจคุณเลยแม้แต่น้อย

10. เป็นไปไม่ได้เลย ที่คุณจะทำให้ทุกคนพอใจ

คุณไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ตลอดเวลา และก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตอบสนองต่อทุกความคาดหวังของทุกคน ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอดทนฝืนทำอย่างนั้น เพราะคนแรกที่คุณควรจะทำให้พึงพอใจให้ได้มากที่สุดก็คือตัวคุณเองไงล่ะ
ความคิดของคนอื่นๆ อาจกลายเป็นภาระต่อคุณได้ เมื่อคุณหมกมุ่นกับมันจนเกินไป ซึ่งคุณอาจลืมไปแล้วก็ได้ว่าตัวเองคิดอย่างไร ดังนั้น การได้ปลดปล่อยตัวเองจากความคิดคนอื่นนี่แหละที่ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ แม้ว่าอาจต้องใช้เวลาฝึกฝนมากสักหน่อย แต่หากเมื่อไหร่ที่คุณทำได้สำเร็จล่ะก็ คุณจะได้เห็นโลกในมุมใหม่ ได้ค้นพบตัวตนของตัวเอง และเป็นอิสระอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยล่ะ

21 สิงหาคม 2560

19 เหตุผล ทำไมชีวิตคุณถึง “ไม่ก้าวไปไหน” สักที?


การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้คนส่วนใหญ่ เวลาที่คุณยึดติดตัวเองกับสิ่งต่างๆ คุณอาจจะรู้สึกว่าคุณไม่รู้จะเดินไปทางไหนต่อดี และชีวิตก็กำลังบอกคุณเช่นกันว่า มันถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องหาความเปลี่ยนแปลงในชีวิตซึ่งบ่อยครั้งที่เหล่าคนที่ประสบความสำเร็จก็อาจต้องเริ่มต้นจากสัญญาณเหล่านี้เช่นกัน

และต่อไปนี้เป็น 19 เหตุผลที่ทำให้ชีวิตคุณไม่ก้าวไปไหนสักที่ พร้อมทั้งวิธีแก้ไขเบื้องต้น

1. คุณไม่รู้จักพอ
ถ้าคุณมองไปในสิ่งที่คุณมีอยู่ แล้วคุณรู้สึกทุกข์ใจและต้องการมีมากกว่านี้เยอะๆ งั้นแสดงว่าก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้คุณพอใจได้เลยสิ แม้แต่ปัจจุบันตอนนี้ของคุณเอง แต่หากคุณมองไปแล้วรู้สึกภูมิใจสุขใจกับสิ่งที่คุณมีในวันนี้ แล้วคุณจะรู้สึกเสมอว่าคุณนั้นมีมากพอกว่าที่คุณต้องการแล้ว
2. คุณคิดว่าชีวิตมีข้อจำกัด
ข้อจำกัด เป็นสิ่งที่คุณกำหนดขึ้นมาเองทั้งนั้น หากคุณใช้จินตนาการและความมุ่งมั่นของคุณพุ่งเป้าไปที่จุดหมายที่หวังไว้ ความสามารถของมนุษย์เรานั้นไร้ขีดจำกัด จงเชื่อมั่นไว้เถอะว่าทุกสิ่งที่คุณตั้งใจล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น
3. คุณขาดความมั่นใจ
เราทุกคนมักมีเสียงคำถามมากมายเกี่ยวกับตัวเองในหัวว่า สิ่งนี้เหมาะสมไหม? สิ่งนี้ถูกต้องหรือเปล่า? หรือสิ่งนี้ดีไหมนะ? แต่ถ้าคุณเอาแต่ลังเลกับสิ่งเหล่านั้นจนเกินไป มันก็ยิ่งจะบั่นทอนกำลังใจคุณเองเปล่าๆ ดังนั้น เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้มากขึ้น คุณต้องบอกกับใจตัวเองให้หาวิธีใหม่ ๆ ในการรับมือและควบคุมจิตใจให้ได้
4. คุณรู้สึกว่าคุณควบคุมตัวเองไม่ได้
ความนิ่งเฉยเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุด หากคุณไม่ควบคุมชีวิตของคุณให้ดี ชีวิตจะกลายมาเป็นผู้ควบคุมคุณแทน ดังนั้น เริ่มต้นหักห้ามจิตใจและควบคุมชีวิตคุณ โดยอาจเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ และเริ่มขยายไปที่เรื่องที่ใหญ่ขึ้น ๆ จนสามารถเป็นนายของชีวิตตนเองได้ในที่สุด
5. คุณละเลยปัญหา
การละเลยไม่สนใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้ทำให้ปัญหาจากเราไปไหน แทนที่จะหลีกหนีปัญหา ลองเปลี่ยนมันเป็นการเผชิญหน้าแล้วหาวิธีแก้ไขมันอย่างชาญฉลาดจะดีกว่านะ
6. คุณหยุดวางแผนชีวิต
ความคิดที่ปราศจากแผนก็เป็นแค่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ ดังนั้น จงหาความศรัทธาของตัวเองให้เจอเพื่อเริ่มต้นตั้งเป้าหมายอีกครั้ง แล้วมุ่งมั่นในการกำหนดแนวคิดและวิธีการที่จะไปให้เป้าหมายนั้นของคุณ
7. คุณไม่ยอมลงมือทำ
แค่รู้ว่าทำอย่างไร นั้นมันไม่เพียงพอ การจะก้าวไปข้างหน้าได้คุณต้องลงมือทำ ลองกำหนดเป้าหมายเล็ก ๆ ที่สามารถทำได้ในทุกวัน และเริ่มต้นขยายเป้าหมายของคุณให้ใหญ่ขึ้นต่อไปเรื่อยๆ
8. คุณไม่เชื่อมั่นในตัวเอง
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของชีวิต คือการที่คุณประเมินตัวเองต่ำไป ลองปรับวิธีคิดและพูดกับตัวเองในเชิงบวกเข้าไว้ เชื่อมั่นกับสิ่งที่ทำและรายล้อมตัวเองด้วยผู้ที่เชือมั่นในตัวคุณ
9. คุณชอบคิดแง่ลบ
เป็นเรื่องยากหรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำที่เราจะได้รับผลดีจากการคิดลบ เพราะส่วนใหญ่แล้วมันกลับก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีด้วยซ้ำไป เมื่อคุณรู้สึกได้ว่าความคิดของคุณเริ่มเป็นไปในทางลบ ให้หยุดความคิดตัวเองทันที แล้วใช้เวลาต่อจากนั้นเพื่อไตร่ตรองว่าสิ่งแย่ ๆ ที่คุณคิดพวกนั้นมันมีผลต่อคุณอย่างไรในอนาคต
10. คุณยังคงทำสิ่งต่างๆ ในแบบที่เคยทำมา
เมื่อคุณก็ไม่คิดจะยอมเปลี่ยนวิธีการ ผลลัพธ์ที่ได้นั้นก็ออกมาเหมือนเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย สุดท้ายมันก็ไม่เกิดความก้าวหน้าใดๆ ขึ้นเลย ดังนั้น จงหาจุดด้อยที่สุดในวิธีการทำงานของคุณ แล้วเริ่มเปลี่ยนแปลงมันสักที แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้อาจดีขึ้นหรือแย่ลง แต่คุณจะไม่มีทางยืนอยู่จุดเดิมตรงนั้นอีกต่อไป
11. คุณหยุดพยายาม
เวลาเป็นสิ่งมีค่า อย่าปล่อยให้มันผ่านไปโดยไม่ทำอะไรเลย ไม่ว่าคุณจะอยู่สถานะใดหรือกำลังทำอะไรก็ตาม จงเตือนตัวเองทุกครั้งว่าคุณสมควรได้รับโอกาสที่ดีที่สุดในการนำพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จ อย่าหยุดพยายาม และลองเริ่มต้นจากเป้าหมายเล็ก ๆ ก็ได้
12. คุณโทษตัวเองว่า คุณมีต้นทุนชีวิตไม่เท่าคนอื่น
แม้ว่าคุณจะไม่ได้มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการตอนนี้ แต่หากคุณลองใช้ความคิดและความสามารถของคุณมาปรับใช้ร่วมกับสิ่งที่คุณมีอยู่ล่ะก็ ถึงแรกเริ่มเดิมทีต้นทุนของคุณจะมีอยู่น้อยสักเพียงใด แต่เชื่อเถอะว่าผลกำไรจากความสามารถของคุณมีมากมายกว่านั้นอย่างแน่นอน ดังนั้นเลิกโทษตัวเองได้แล้ว
13. คุณไม่มีความรับผิดชอบ
เมื่อคุณไม่สามารถรับผิดชอบสิ่งต่างๆ ได้ นั่นก็หมายความว่า คุณไม่สามารถไว้ใจตัวเองให้ทำสิ่งอื่นๆ ได้เช่นกัน จงเตือนตัวเองทุกวันว่าคุณต้องรับผิดชอบทั้งหน้าที่และคำพูดของตัวเอง และจำให้ขึ้นใจเสมอว่า ความรับผิดชอบ คือ สิ่งที่สำคัญที่สุด
14. จิตใจคุณไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เคยมีคนกล่าวว่าร้อยละ 80 ของความสำเร็จนั้นมาจากการที่คุณเผยความสามารถนั้นออกมา ดังนั้น จงอยู่กับปัจจุบันเข้าไว้ และอยู่ในที่ที่คุณจำเป็นต้องอยู่ อย่าได้วอกแวกไปกับสถานการณ์ต่างๆ
15. คุณกลัวความล้มเหลว
อย่าให้ชิวิตต้องหยุดชะงักเพราะความกลัว โปรดจำไว้ว่าถ้าคุณทำดีที่สุดแล้วแต่ยังล้มเหลว ยังไงคุณก็จะได้บทเรียนที่แสนมีค่าเพื่อฝึกฝนคุณให้พร้อมสำหรับความท้าทายนั้นอีกครั้ง ถ้าคุณเอาแต่ให้ความกลัวนำพาชีวิตคุณเดินไปข้างหน้า คุณจะไม่เหลืออะไรเลย นอกจากความเสียใจที่ไม่ได้ลงมือทำ
16. คุณดูถูกตัวเอง
ถึงแม้ เพื่อน คนรู้จัก หรือสมาชิกในครอบครัวคุณจะดูถูกดูแคลนคุณมากสักเพียงไหน โปรดอย่าได้เก็บคำพูดเหล่านั้นมาใส่ใจหรือท้อใจเลย จงโฟกัสที่ตัวเองเพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีที่สุด แล้วสักวันคุณจะพิสูจน์ให้พวกเขาได้เห็นเองว่าคุณทำได้
17. คุณขาดความกล้า
บ่อยครั้งที่เราคิดว่า ความกล้าหาญ คือการที่ไร้ซึ่งความกลัว แต่ไม่ใช่เลย เพราะคนที่กล้าหาญทุกคนนั้นล้วนมีความกลัวเหมือนกับเรานั่นแหละ แต่พวกเขาเอาชนะมันได้เพราะพวกเขามีความมุ่งมั่นที่มากกว่าเท่านั้นเอง
18. คุณเอาแต่เฝ้ารอเวลาที่เหมาะสม
คุณไม่จำเป็นต้องรอคำอนุญาตจากใคร เพราะเวลาที่เหมาะสมที่สุดนั้นไม่มีอยู่จริงหรอก จงเริ่มต้นจากสิ่งที่คุณมีและสิ่งที่คุณเป็นอยู่ เพื่อทำในสิ่งที่คุณสามารถทำได้ในตอนนี้ วินาทีนี้
19. คุณเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
นี่เป็นการกระทำที่เสียเวลาอย่างมาก เพราะไม่มีใครที่มีอะไรเหมือนกันทุกอย่าง จึงไม่มีเหตุผลใดเลยที่เราจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่นได้ ถ้าจะเปรียบเทียบล่ะก็ จงเปรียบเทียบกับตัวเองในอดีตนี่แหละว่าคุณก้าวผ่านอุปสรรคมาไกลแค่ไหนแล้ว และพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าให้ไกลกว่าเดิมหรือยัง

Source: Inc-asean

08 กรกฎาคม 2560

4 เคล็ดลับที่จะช่วยคุณก้าวออกจาก Comfort Zone

4 เคล็ดลับที่จะช่วยคุณก้าวออกจาก Comfort Zone



มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะนิสัยที่ต้องการความสะดวกสบายเพื่อลดความตึงเครียดของตนเองอยู่โดยตลอด ซึ่งมันคงเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก หากว่าเราจะต้องออกจากพื้นที่สุขสบาย (Comfort Zone) ของตนเอง แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้กันดีก็คือ ถ้าเราเลือกที่จะอยู่กับความกลัวและติดอยู่กับสิ่งที่คุ้นเคยไปตลอด เราก็คงต้องเดินตามหลังคนที่เขากล้าจะเดินออกมาจากจุดๆ นั้น และยิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ จนตามใครไม่ทัน

แล้วอะไรที่เป็นเคล็ดลับที่จะช่วยให้เราออกจากพื้นที่สุขสบายนี้ได้ล่ะ? มาดูกันเลยกับ 4 วิธีที่จะช่วยผลักคุณเข้าสู่โลกของการผจญภัยและการคว้าหาโอกาสใหม่ๆ ในชีวิต
1. ค้นหา “พื้นที่แห่งความกล้า” ของคุณ



พื้นที่แห่งความกล้าหาญนั้นมักจะอยู่ข้างนอกพื้นที่คอมฟอร์ทโซน ถ้าคุณยังไม่พร้อมก้าวกระโดดออกไปทีเดียว ก็สามารถก้าวออกไปอย่างช้าๆ ได้เช่นกัน โดยคุณจะต้องริเริ่มอะไรสักอย่างที่มันท้าทายและกระตุ้นคุณให้กล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ ซึ่งในพื้นที่แห่งความกล้าหาญนั้น เราอาจไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ แต่ว่ามันกลับเต็มไปด้วยโอกาสมากมายที่จะส่งผลต่อความก้าวหน้าในชีวิต


คุณจะต้องริเริ่มอะไรสักอย่างที่มันท้าทายและกระตุ้นคุณให้กล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่
2. ก้าวข้าม “พื้นที่แห่งความกลัว” ไปให้ได้




สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับความกล้าก็คือ ความหวาดกลัว เมื่อได้พบเจอกับพื้นที่แห่งความกล้าหาญแล้วก็จะต้องมาพบกับพื้นที่แห่งความหวาดกลัว คนแล้วคนเล่าที่ไม่สามารถก้าวข้ามมันไปได้เพราะกลัวที่จะลองสิ่งใหม่ แต่เชื่อเถอะว่ากุญแจสู่ความสำเร็จคือการที่คุณก้าวข้ามคอมฟอร์ทโซนไปแล้ว และได้ก้าวข้ามพื้นที่แห่งความกลัวไปได้อีกนั่นเอง ดังนั้น หากคุณลองกล้าสักครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปคุณก็จะยิ่งกล้าและยิ่งท้าทายมากขึ้นอย่างแน่นอน

หากคุณลองกล้าสักครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปคุณก็จะยิ่งกล้าและยิ่งท้าทายตนเองมากขึ้น
3. ให้โอกาสตัวเองได้เสี่ยงบ้าง



คุณเลือกจะอยู่กับสิ่งที่ปลอดภัยและคุ้นชินไปตลอด หรือ เลือกที่จะฉีกออกจากกรอบเล็กน้อยเพื่อก้าวไปข้างหน้าแบบสุดขีดดีล่ะ? การที่เราออกจากคอมฟอร์ทโซนไปได้นั้น บางครั้งมันก็ทำให้รู้สึกเหมือนว่าคุณไม่มีเกราะกำบังอะไรเหลืออยู่และกำลังเผชิญกับความเสี่ยง แต่นี่แหละที่เป็นส่วนสำคัญของความก้าวหน้าในชีวิต ลองออกไปท้าทายตัวเองดูบ้าง แล้วปล่อยให้ประสบการณ์สร้างภูมิคุ้มกันให้กับเรา

ลองออกไปท้าทายตัวเองดูบ้าง แล้วปล่อยให้ประสบการณ์สร้างภูมิคุ้มกันให้กับเรา
4. ค่อยเป็นค่อยไป



เชื่อเถอะว่า การจะออกจากคอมฟอร์ทโซนได้นั้น ล้วนต้องใช้ความพยายามอยู่พอสมควร ทุกครั้งที่คุณพยายามจะก้าวไปข้างหน้า จงประเมินตนเองอยู่เสมอว่าตอนนี้คุณมาถึงตรงจุดไหนแล้ว และวางแผนว่าคุณจะไปจุดไหนต่อไป จากนั้นจึงค่อยก้าวไปยังจุดหมายใหม่ๆ ที่คุณต้องการ ซึ่งนี่เป็นวิธีเพิ่มแรงผลักดันให้กับเราได้ ทำให้เราก้าวสู่โอกาสที่ยิ่งใหญ่ขึ้นและทำให้เราค่อยๆ ออกจากคอมฟอร์ทโซนไปได้นั่นเอง

เรามักจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสะดวกสบายที่คุ้นชิน เหมือนกับอยู่ในบ้านหลังหนึ่งที่คุณคิดว่าปลอดภัยและน่าอยู่ที่สุดแล้ว แต่ทว่าภายนอกลับมีสิ่งน่าค้นหาอยู่อีกมาก ซึ่งมันก็เป็นหน้าที่ของคุณแล้วล่ะที่ต้องลองก้าวออกจากประตูนั้นสักที เพื่อพบเจอสิ่งใหม่ๆ และเติบโตขึ้นไปกว่าจุดที่คุณยืนอยู่ตรงนี้

แล้วคุณพร้อมที่จะเริ่ม ‘ก้าวแรก’ ของคุณแล้วหรือยัง?

30 พฤษภาคม 2560

27 คำคมที่จะช่วย “เปลี่ยนวิธีคิด(mindset)” ของคุณ เมื่อพบเจอสารพัดปัญหา

27 คำคมที่จะช่วย “เปลี่ยนวิธีคิด(mindset)” ของคุณ เมื่อพบเจอสารพัดปัญหา

แม้แต่นักธุรกิจที่มากประสบการณ์ต่างก็ยังต้องพบเจอกับปัญหา ในขณะที่งานชิ้นล่าสุดของคุณกำลังไปได้สวย ในขณะที่คุณเจอกับความท้าทายใหม่ๆ และเห็นแสงแห่งความสำเร็จอยู่ตรงหน้า แต่บางครั้งทุกอย่างก็กลับหยุดชะงักลงได้เมื่อคุณเจอกับปัญหาที่ดูเหมือนจะไม่มีทางออก
จริงที่ว่าอุปสรรคมักจะทำให้เราท้อแท้ และเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เสียด้วย แต่วิธีที่คุณใช้ในการเผชิญหน้าและคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาอย่างตรงไปตรงมาต่างหาก ที่จะช่วยเพิ่มทักษะในการแก้ปัญหาให้กับคุณ

นี่คือสิ่งที่เหล่าบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าฉลาดที่สุดในโลกต่างใช้ในการคิดแก้ปัญหา รวมถึงวิธีการที่คุณจะใช้ในการเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นด้วย

“ปัญหาที่เราสร้างขึ้นไม่สามารถแก้ได้ด้วยวิธีการคิดแบบเดิมๆ” – อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)
“ปัญหามิใช่จุดจบ แต่มันคือการนำทาง” – โรเบิร์ต เอช สชัลเลอร์ (Robert H. Shuller)
“ปัญหาจะเล็กลง ถ้าเราเลือกที่จะเผชิญหน้าแทนที่จะเลี่ยงหนี” – วิลเลี่ยม เอฟ ฮัลสรีย์ (William F. Halsey)
“ไม่ใช่ทุกอย่างที่เจอจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้จนกว่าจะเจอ” – เจมส์ บัลด์วิน (James Baldwin)
“บางปัญหาไม่ต้องการทางออก แต่ต้องการเพียงแค่วุฒิภาวะในการข้ามผ่าน” – สตีฟ มาลาโบลี่ (Steve Maraboli)
“ทุกปัญหาคือรางวัล ไม่มีมัน เราก็จะไม่โต” – โทนี่ ร็อบบินส์ (Tony Robbins)
“ชีวิตไม่ใช่ปัญหา แต่คือความเป็นจริงที่ต้องเผชิญ” – เซอเรน เคียร์เคอกอร์ (Soren Kierkegaard)
“ถ้าแก้ปัญหาได้ จำเป็นต้องกังวลไปเสียทำไม และถ้าแก้ไม่ได้ แล้วกังวลไปจะได้อะไร” – ศานติเทวะ (Shantideva)
“ปัญหาไม่ใช่แก้ไม่ได้ แต่อยู่ที่เราจะมองมันออกหรือไม่ต่างหาก” – จี เค เชสเตอร์ตัน (G.K Chesterton)
“ปัญหาเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์” – เจอฮาร์ด จชวานท์เนอร์ (Gerhard Gschwandtner)
“เรามักจะล้มเหลวอยู่บ่อยครั้ง นั่นก็เพราะเราแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด มากกว่าการแก้ผิดวิธีแต่ปัญหานั้นถูก” – รัซเซล แอล แอคออฟ (Russell L. Ackoff)
“ทัศนคติที่ดีแม้จะไม่ใช่ทางออกของปัญหา แต่มันกลับช่วยให้คุณมีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหานั้นให้ได้” –Anonymous
“ยิ่งหนีปัญหาก็ยิ่งไกลจากทางออก” – Anonymous
“ผู้นำในการแก้ปัญหามักจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือการศรัทธาว่ามันจะต้องมีทางออกที่ดีกว่านี้เสมอ” – เจอราล์ด เอ็ม เวนเบิร์ก (Gerald M. Weinberg)
“แต่ละปัญหาที่ถูกแก้จะกลายเป็นกฏซึ่งจะกลายเป็นทางออกสำหรับปัญหาต่อๆไป” – เรน เดสคาส (Rene Descartes)
“ความสามารถในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจที่ดี คือตัวชี้วัดศักยภาพความเป็นผู้นำในตัวคุณ” – ไบรอัน เทรซี่ (Brian Tracy)
“ถ้าไม่สามารถเข้าใจต้นต่อของปัญหาได้ ก็ไม่มีทางแก้ไขได้เหมือนกัน” – นาโอโตะ คาน (Naoto Kan)
“ปัญหาคือโอกาสที่จะแสดงความสามารถของตัวคุณอย่างเต็มประสิทธิภาพ” – ดุ๊ก เอลลิงตัน (Duke Ellington)
“การยอมแพ้ คือ ทางที่เจ็บปวดที่สุดของการแก้ปัญหา” – Anonymous
“แทนที่จะคิดนอกกรอบ จงเอากรอบนั้นออกแทน” – ดีพัค โชพรา (Deepak Chopra)
“การแก้ปัญหา คือ การรับฟัง” – ริชชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson)
“ทุกปัญหาย่อมมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ” – โรเบิร์ต คิโยซากิ (Robert Kiyosaki)
“ไม่มีปัญหาใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าพลังในตัวคุณ” – บ็อบ พร้อคเตอร์ (Bob Proctor)
“ทักษะในการแก้ปัญหา พัฒนาได้โดยเพิ่มความสามารถในการถามตอบ” – มิชเชล เจ เกลป์ (Michael J. Gelb)
“อย่าพยายามขอความช่วยเหลือโดยไม่คิดจะลงมือแก้ด้วยตัวเองเสียก่อน” – คอลิน พาวเวล (Colin Powell)
“ถ้าปัญหาแก้ได้ เดี๋ยวมันก็จะแก้ได้เอง แต่ถ้ามันแก้ไม่ได้ ก็ไม่เห็นมีอะไรที่จะต้องไปกังวล” – ดาไล ลามะ องค์ที่ 16 (Dalai Lama XIV)
“ชีวิต คือ การแก้ปัญหา” – คาร์ล พ้อพเปอร์ (Karl Popper)

Source: Entrepreneur

27 พฤษภาคม 2560

7 วิธี ที่จะทำให้คุณเลิกเป็นคน ฟุ้งซ่าน คิดมาก ขี้กังวล

แน่นอนว่าตัวคุณเองรู้อยู่แล้ว ว่าการใช้เวลาเป็นชั่วโมงเพื่อตัดสินใจว่าจะเลือกแซนด์วิชชิ้นไหนเป็นอาหารกลางวันเป็นเรื่องไร้เหตุผล เช่นเดียวกับการใช้เวลานับสัปดาห์เพื่อตัดสินใจว่าจะรับข้อเสนองานชิ้นนี้ดีไหม? หรือใช้เวลาหนึ่งปีเพื่อคิดว่าจะแต่งงานกับแฟนคนนี้ดีรึเปล่า?
คุณอาจจะคิดว่า “พอได้แล้วน่า…ตัดสินใจซะทีเถอะ” แต่พอผ่านไปแค่ไม่กี่นาที ความลังเลและหวั่นวิตกก็เริ่มจู่โจมเข้ามาเรื่อยๆ แม้คุณจะพยายามสร้างภูมิคุ้มกันความรู้สึกเหล่านี้บ้างแล้วก็ตาม
ทุกคนคงเคยผ่านสถานการณ์แบบนี้มาแล้ว และมีวิธีรับมือที่ต่างกันออกไป ซึ่งจากเว็บไซต์ Quora ที่มีคนไปตั้งคำถามว่า “ฉันควรแก้นิสัยคิดมากนี้ยังไงดี?” ซึ่งมีผู้คนมากมายที่มาแชร์วิธีของตัวเองและร่วมโหวตคำตอบที่สร้างสรรค์ที่สุด และทางเราก็ได้รวบรวมมาไว้ในเว็บ SUMREJ ให้แล้ว ต่อไปคุณจะได้รู้วิธีหยุดนิสัยนี้ได้อย่างถาวร!

1.สังเกตความคิดของตัวเอง

คิดมาก
ส่วนสำคัญที่สุดของการทำสมาธิคือ การปล่อยให้ความคิดของคุณลอยผ่านไป แทนที่จะไปยึดติดอยู่กับมันหรือพยายามที่จะหยุดคิดมัน
การฝึกสมาธิแบบเจริญสติ (Mindfulness Meditation) เป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณ หยุดหมกมุ่นกับเรื่องในอดีตได้ โดยให้คุณลองสังเกตการณ์ความคิดของตัวเอง แทนที่จะลงไปหมกมุ่นอยู่กับมัน
สตีฟ จอบส์ เองก็เคยอธิบายเกี่ยวกับวิธีการเช่นเดียวกันนี้ให้ วอลเตอร์ ไอแซ็กซัน ผู้เขียนชีวประวัติของเขาฟัง ดังนี้
“ลองนั่งอยู่เฉยๆ แล้วสังเกตความคิดของตัวเองดู คุณจะรู้เลยว่าความคิดมันไร้ขอบเขตจริงๆ และเวลาที่คุณพยายามทำให้มันนิ่ง ก็มีแต่จะแย่ลงเท่านั้น แต่จิตใจของคุณจะสงบลงเองเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก และเมื่อจิตใจของคุณสงบแล้วมันก็จะมีที่ว่างในการรับฟังสิ่งที่ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น”

2.เขียนความคิดของตัวเอง

คิดมาก
อีกวิธีนึง ที่จะช่วยหยุดความคิดฟุ้งซ่านของคุณ ก็คือ การระบายให้กับคนที่มีมุมมองวิธีคิดแตกต่างไปจากคุณได้ฟัง หรือจะใช้วิธีเขียนระบายความคิดของตัวลงไปในกระดาษแทนก็ได้ เพราะการเขียนทำให้เราคิดอย่างเป็นระบบขึ้นมาก ถ้าคุณเก็บความคิดเหล่านั้นไว้แต่ในหัว นอกจากมันจะไปสุมกันจนเป็นภูเขาเลากา มันยังทำให้คุณวนกลับมาคิดเรื่องเดิมซ้ำอยู่อย่างนั้นไม่จบสิ้น

3.กำหนดช่วงเวลาสำหรับ “การหยุดใช้ความคิด”

การกำหนดโซน “หยุดใช้ความคิด” ช่วยห้ามไม่ให้คุณหมกมุ่นกับปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป เช่น การไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องยากๆ หลังเวลาสองทุ่มเพื่อไม่ให้มันมารบกวนเวลานอนหลับ
Amy Morin ซึ่งเป็นทั้งนักสังคมสงเคราะห์และนักเขียน ได้แนะนำวิธีที่ใกล้เคียงกันไว้ในคอลัมน์หนึ่งของ Psychology Today ว่าให้แบ่งเวลาไว้ประมาณ 20 นาทีต่อวัน สำหรับการสะท้อนความคิดของตัวเอง
“ภายในยี่สิบนาทีนี้ ปล่อยให้ตัวเองวิตกกังวล ครุ่นคิด ฟุ้งซ่านได้เต็มที่ตามต้องการ แล้วพอหมดเวลา ก็ให้เปลี่ยนไปทำสิ่งอื่นที่มีประโยชน์กว่า ถ้าคุณเริ่มคิดมากนอกช่วงเวลาที่กำหนดไว้เมื่อไหร่ ก็ให้เตือนตัวเองว่า ค่อยเอาเก็บไปคิดในช่วงเวลาที่กำหนดดีกว่า”

4.เบี่ยงเบนความคิดของตัวเอง

คิดมาก
ฟังดูง่ายๆ แต่ที่จริงการจดจ่อกับสองสิ่งไปพร้อมกันนี่มันยากนะ ลองออกกำลังกายหรือเล่นเกมดูเมื่อรู้ตัวว่าตนเองกำลังคิดมาก เพื่อสร้างสมดุลระหว่างอารมณ์และร่างกาย
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็เห็นด้วยกับวิธีนี้ Stepher S. Ilardi ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Depression Cure กล่าวกับ Fox News ว่า วิธีแก้การคิดมากคือ ให้หากิจกรรมที่เบี่ยงเบนความสนใจของคุณ ซึ่งควรเป็น “กิจกรรมที่ใช้ทั้งร่างกาย ความคิด และการร่วมเล่นกับผู้อื่น เช่น เทนนิส หรือการเดินเที่ยวกับเพื่อนสักคน”

5.โฟกัสที่สิ่งที่ทำได้ในปัจจุบัน

อีกหนึ่งวิธีแก้นิสัยคิดมากก็คือ เลิกคิดแล้วลงมือทำ อย่าไปโฟกัสในสิ่งที่คุณต้องทำ สิ่งที่ยังไม่ได้ทำ หรือแม้แต่สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว แต่ให้พุ่งความสนใจไปในที่สิ่งที่สามารถทำได้ในปัจจุบันก็พอ ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กแค่ไหนก็ตาม แล้วก็ลงมือทำมันซะ
Bob Migliani ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Embrace of the Chaos เขียนลงในหนังสือพิมพ์ The Huffington Post ว่า เขามักจะเปลี่ยนความกังวลใจเกี่ยวกับอนาคตให้กลายเป็นการกระทำที่จับต้องได้ “ทุกครั้งที่ผมเริ่มกังวลในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ผมจะลุกจากที่ที่นั่งอยู่ เดินไปที่คอมพิวเตอร์และลงมือเขียนหนังสือของผมต่อ” เขากล่าว

6.เคารพความคิดเห็นของตัวเอง

เหตุที่คุณยังคงคิดมากจนไม่ยอมตัดสินใจ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคุณไม่เชื่อว่าตัวเองจะตัดสินใจเลือกสิ่งที่ถูกต้อง จงเรียนรู้ที่จะเคารพความคิดเห็นของตัวเอง ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งลังเลในความคิดของตัวเองมากเท่านั้น

7.คุณสามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้

เป็นเรื่องปกติที่จะกังวลว่าคุณเลือกงานผิด แต่งงานกับคนที่ไม่ใช่สำหรับตัวเอง หรือแม้แต่ขับรถกลับบ้านผิดทาง แต่ความผิดพลาดก็ไม่ได้นำไปสู่หายนะเสมอไป แถมยังเป็นโอกาสให้ได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นด้วย
นักข่าวชื่อดัง Kathryn Schulz เคยขึ้นไปพูดบนเวที TED Talk เธอกล่าวว่า “การตระหนักได้ว่าตัวเองทำอะไรพลาดแล้วปรับมุมมองการมองโลกใหม่ได้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ๆ ”
“การคิดมากมักเป็นเพราะคุณคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของคุณ เปลี่ยนแปลงไม่ได้และต้องถูกต้องเท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้ว คุณไม่ต้องกังวลกับความผิดพลาดเลย และให้เข้าใจไว้ว่าความคิดเห็นหรือความรู้ของคุณนั้นมันเปลี่ยนแปลงได้เสมอตามกาลเวลา แล้วคุณจะรู้สึกสงบและเป็นอิสระจากภายในอย่างแท้จริง”

10 พฤษภาคม 2560

7 ขั้นตอน แปรเปลี่ยน “ความฝัน” ให้กลายเป็นจริง



 “วิสัยทัศน์เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ เพราะมันทำให้ความปรารถนาของเรากลายเป็นจริงได้” — CHRIS WIDENER
หากเราตั้งคำถามว่า ความสำเร็จมีแบบแผนที่ตายตัวหรือไม่? แน่นอนว่าคำตอบคือ ใช่ ความสำเร็จมีแบบแผนของมันอยู่ ซึ่งเหล่าคนที่ประสบความสำเร็จก็ล้วนทำตามแบบแผนนั้น โดยพวกเขาทำทุกวัน วันแล้ววันเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าคุณอยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จบ้าง อย่าได้รอช้า ลองทำตามขั้นตอนต่อจากนี้ แล้วความฝัน ความหวัง และความปราถนาของคุณจะแปรเปลี่ยนเป็นความจริงสักที

1. ฝันถึงมัน

ทุกความสำเร็จต่างมีจุดเริ่มต้นเดียวกันคือ ความคิดและจิตใจ คนที่ประสบความสำเร็จต่างทราบกันดีว่า ก่อนที่พวกเขาจะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่เกินกว่ามนุษย์คนหนึ่งจะทำให้สำเร็จได้นั้น พวกเขาล้วนต่างรับรู้ถึงความสำเร็จผ่านทางความคิด พวกเขากล้าพอที่จะจินตนาการและเชื่อมั่นว่าความฝันของพวกเขาสามารถเกิดขึ้นจริงได้ ดังนั้นแล้ว จงคิดและฝันให้ใหญ่เข้าไว้ อย่าให้ทัศนคติในแง่ลบมาทำให้คุณเสียความตั้งใจ คุณคือนักฝัน แต่จงจำไว้ว่าความฝันของคุณไม่ได้เป็นแค่เพียงจินตาการที่เกิดขึ้นในหัวแล้วก็หายไป แต่คือฝันที่ต้องสามารถเป็นจริงได้ จงอย่าลืมที่จะจุดประกายความฝันอย่างสม่ำเสมอ เพราะชีวิตเรานั้นสั้นเกินกว่าจะปล่อยให้ความฝันดีๆ ต้องหลุดลอยไป

2. เชื่อมั่นในสิ่งที่ฝัน

ใช่แล้ว คุณต้องฝันให้ใหญ่เข้าไว้ ฝันที่คุณไม่คิดว่ามนุษย์ตัวเล็กๆแบบคุณจะทำสำเร็จได้ แม้ความฝันเหล่านั้นจะใหญ่สักแค่ไหน เกินกำลังคุณมากเพียงใด แต่หากคุณมีความเชื่อมั่นอย่างมากล้นในฝันนั้น มุ่งมั่นทุ่มเทกับมันมากพอ และมีมิตรสหายที่พร้อมจะหยิบยื่นมือช่วยคุณ ยังไงคุณก็สามารถทำสำเร็จได้อย่างแน่นอน อย่าลืมล่ะจงเชื่อมั่นเข้าไว้!

3. มองเห็นภาพที่คุณฝัน

ผู้คนที่ประสบความสำเร็จมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือพวกเขามัก “มองเห็น” เช่น ภาพของตัวเองที่กำลังได้ขึ้นแท่นเป็น CEO หน้าใหม่ของบริษัท ภาพของตัวเองที่ได้ลงแข่งกีฬาระดับโลก หรือแม้แต่ภาพของตัวเองที่เป็นนักพูดระดับโลกกำลังกล่าวสุนทรพจน์ด้วยความมั่นใจ ไม่ว่าภาพไหนๆ ที่คุณมองเห็นตัวเองอยู่ก็ตาม จงจำไว้ว่าจิตใจและร่างกายจะทำงานผสานร่วมกันก็ต่อเมื่อคุณสามารถ “มองเห็น” ภาพฝันนั้นได้อย่างชัดเจน

4. แบ่งปันความฝัน

สิ่งหนึ่งที่ทำให้นักฝันทำได้แค่ฝันไปวันๆ ก็เพราะว่าพวกเขาเก็บความใฝ่ฝันนั้นไว้กับตัวเอง ฝันที่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รับรู้ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าหากคุณอยากประสบความสำเร็จ สิ่งที่คุณต้องทำคือบอกเล่าความฝันของคุณให้ผู้อื่นได้ฟัง คุณอาจมีคำถามว่าเหตุใดต้องทำเช่นนั้นด้วยล่ะ เหตุผลก็คือ การที่คุณได้แบ่งปันความฝันของคุณให้กับผู้อื่นได้รับรู้นั้น มันจะช่วยตอกย้ำให้คุณเชื่อมั่นมากขึ้นเรื่อยๆว่าความฝันนั้นสามารถเป็นจริงได้ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ หากว่าคุณได้บอกเล่าความฝันของคุณให้ผู้อื่นได้รับรู้แล้ว คุณก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อความฝันนั้นด้วย ไม่เช่นนั้นคุณก็จะดูเป็นคนเขลาในสายตาผู้อื่นทันทีหากว่าคุณทำฝันนั้นไม่สำเร็จ

5. วางแผนความจริง

ทุกความสำเร็จล้วนเกิดจากการวางแผนที่ดี ดังคำกล่าวที่ว่า you get what you plan for หรือแปลว่า คุณจะได้รับในสิ่งที่คุณวางแผนเอาไว้ ซึ่งคำกล่าวนี้ก็คงไม่ไกลเกินจริงไปนัก เพราะคุณต้องทุ่มเทกับมันให้มาก วางแผนและคิดอย่างรอบคอบว่าจะทำอย่างไรถึงจะทำให้ฝันคุณเป็นจริง จากนั้นจึงค่อยแบ่งแผนใหญ่ๆ ออกเป็นแผนเล็กๆที่ไม่เกินความสามารถของคุณ และสุดท้ายจึงค่อยกำหนดเวลาไว้ว่าแต่ละแผนคุณจะใช้เวลาเท่าใดในการทำให้สำเร็จ

6. ลงมือทำให้เป็นจริง

ความสำเร็จไม่มีทางเกิดขึ้นกับคุณอย่างแน่นอนหากคุณได้ละเลยขั้นตอนนี้ไป เพราะขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด ดังนั้นขั้นตอนนี้คุณต้องตั้งใจให้มาก อย่าลืมว่าเหล่าคนที่ประสบความสำเร็จทุกคนล้วนทำตามความฝันของเขาอย่างเต็มที่สุดความสามารถ มีสมการๆ หนึ่งที่กล่าวว่า ‘‘งานระยะสั้น x เวลา = ความสำเร็จระยะยาว’’ หากคุณลองทำตามสมการข้างต้น โดยค่อยๆ ทำงานเล็กๆที่คุณแบ่งไว้ ลงมือทำเป็นประจำทุกวี่วัน ท้ายที่สุดแล้วฝันที่ยิ่งใหญ่ของคุณย่อมค่อยๆกลายเป็นความจริงขึ้นมา

7. สนุกไปกับมัน

เมื่อฝันของคุณเป็นจริง จงอย่าลืมที่จะสนุกไปกับความสำเร็จเหล่านั้น เช่นการให้รางวัลตัวเองที่สามารถทำฝันให้เป็นจริงได้ และอย่าลืมแบ่งปันความสุขนั้นตอบแทนให้ผู้อื่นด้วย เพราะฝันของคุณจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าขาดผู้คนที่ได้หยิบยกโอกาสและกำลังใจให้กับคุณ
เมื่อทำครบทุกขั้นตอนแล้ว ให้ย้อนกลับไปทำขั้นตอนแรกใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ อย่าลืมฝันให้ใหญ่กว่าเดิมด้วยล่ะ!

06 พฤษภาคม 2560

"เรียน" อย่างไรให้ "จำ" ได้ดี







"เรียน" อย่างไรให้ "จำ" ได้ดี

สำหรับการเรียนหนังสือแล้ว "ความจำ" เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้เราเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจะพูดถึงเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่ามีผลให้ความจำดีขึ้นและเรียนรู้ได้มากขึ้น






เวลาที่เราเริ่มรับข้อมูลด้วยการฟังอย่างเดียวนั้น ความจำได้จะลดลงตามเวลา แต่ถ้าหากเราฟังไปด้วย จดไปด้วย และคิดตามไปด้วย ความจำได้จะลดลงช้ากว่าการฟังอย่างเดียว นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าการที่ครูค่อย ๆ เขียนกระดาน และให้นักเรียนค่อย ๆ จดตามไปนั้น ส่งผลดีต่อความจำมากกว่าการปิ้งแผ่นใสหรือฉายไฟล์เพาเวอร์พ้อยท์ นอกจากนี้การคุยไปด้วย ตั้งคำถามให้นักเรียนได้มีโอกาสคิดตามไปด้วย ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อความจำ วิธีตรวจสอบว่านักเรียนคิดตามหรือไม่ คือ การขอให้นักเรียนตอบออกมาดัง ๆ






เทคนิคการเพิ่มความจำอีกอย่าง คือ การให้การบ้านและขอให้นักเรียนทบทวน ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะเป็นการกระตุ้นความทรงจำ อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญทางสมองแนะนำเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการทบทวน ดังนี้
1. ควรให้การบ้านในปริมาณที่เหมาะสม เช่น การบ้านที่ใช้เวลาทำไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน
2. ควรทิ้งช่วงเวลาในการทบทวนให้เหมาะสม นักจิตวิทยาแนะนำว่า การทบทวนถี่ ๆ เกินไปจะส่งผลเสีย เพราะจิตใต้สำนึกจะคอยบอกว่า ตรงนี้รู้แล้ว ตรงนี้จำได้ ผลก็คือเราจะอ่านทบทวนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
3. ขณะทบทวนให้ตั้งคำถามให้ตัวเองตอบ ตั้งคำถามเยอะ ๆ ตอบเยอะ ๆ ใช้เครื่องช่วยอย่างเช่น flashcards
4. พยายามเชื่อมโยงข้อมูลใหม่ ๆ เข้ากับความรู้ที่มีอยู่เดิมจะทำให้จำได้ดีขึ้น วิธีที่จะเชื่อมโยงข้อมูลได้ดีวิธีหนึ่ง คือ การวาดแผนภาพ หรือการทำ mind map การสอนของครูก็ควรมีส่วนที่เชื่อมโยงความรู้เก่าที่สอนไปแล้วเข้ากับความรู้ใหม่ ๆ ที่กำลังจะสอนด้วย
5. การหลับหลังจากการทบทวนอย่างเต็มที่จะทำให้เซลล์สมองเสริมสร้างความเข้มแข็งในการเชื่อมต่อกัน เพิ่มพลังให้แก่ความจำให้ดียิ่งขึ้นไปอีก




อ้างอิงภาพ : www.learningfundamentals.com


สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ หากครูมีวิธีที่ทำให้นักเรียนชอบ หรือว่ารักหรือว่าหลงใหลในเนื้อหาวิชาแล้ว ครูจะพบว่านักเรียนจะเฝ้าครุ่นคิดถึงมันและจะจำได้จนไม่มีวันลืมแต่ถ้าหากครูทำให้นักเรียนรู้สึกหดหู่ เจ็บปวด หรือว่าทรมานกับเนื้อหาวิชาแล้ว ผลที่ได้จะกลับเป็นตรงกันข้ามเลยทีเดียว
สุดท้ายที่จะขอฝากไว้ตรงนี้ คือ ทัศนคติต่อการเรียนรู้ นักเรียนโดยทั่วไปจะมีทัศนคติว่าตนเองมีความสามารถในการเรียนรู้ที่จำกัด จะไม่สามารถเรียนรู้ของที่ยากเกินว่าขีดจำกัดหนึ่ง ซึ่งพวกเขาสร้างมันขึ้นมาในจิตใจ ข้อจำกัดนี้เป็นทั้งข้ออ้างและตัวขัดขวางการเรียนรู้ของนักเรียนคนนั้น ดังนั้นครูจำต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติในการเรียนรู้ของนักเรียนให้เป็นลักษณะของการเจริญงอกงาม โดยใช้แนวคิดที่ว่า ภายใต้กลยุทธ์การเรียนรู้ที่เหมาะสม ให้เวลากับการเรียนรู้อย่างเพียงพอ และใช้กระบวนการเรียนรู้ที่ดี จะทำให้ความสามารถของนักเรียนค่อย ๆ เติบโตและเจริญงอกงาม จนกระทั่งสามารถเรียนรู้อะไรก็ได้แม้แต่สิ่งที่ยากที่สุด แล้วจะไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับการเรียนรู้อีกต่อไป


อ่านเพิ่มเติม :
เทคนิคการเพิ่มความจำ
http://www.vox.com/2014/6/24/5824192/study-smarter-learn-better-8-tips-from-memory-researchers
ผลเสียของการทำการบ้านนานเกิน 2 ชั่วโมง
http://phys.org/news/2014-03-hours-homework-night-counterproductive.html
การหลับหลังการเรียนรู้เพิ่มพลังสมอง
http://medicalxpress.com/news/2014-06-brain-cells-memory.html#inlRlv


อ้างอิงบทความ :
http://www.vcharkarn.com/varticle/61718

04 พฤษภาคม 2560

4 วิธีที่ช่วยดึง ‘ศักยภาพอันน่าทึ่ง’ ในตัวคุณออกมา




“เราทุกคนล้วนมีเมล็ดพันธุ์แห่งศักยภาพอยู่ในตัว แต่น้อยคนนักที่จะดูแลจนมันเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ได้” — JOHN C. MAXWELL
คุณเคยดูฉากในการ์ตูนที่มีลูกบอลหิมะตั้งหมิ่นเหม่อยู่บนยอดเนินเขาไหม? แน่นอนว่าสักพักมันจะค่อยๆ กลิ้งลงเนิน จากช้าๆ ก็เริ่มเร็วและขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ  กลิ้งทับทุกอย่างที่ขวางหน้า
มีผู้คนมากมายที่เปรียบเสมือนลูกบอลหิมะบนยอดเขานั้น พวกเขาเต็มไปด้วยศักยภาพอันน่าเหลือเชื่อ แต่บ่อยครั้งที่กลับอยู่นิ่งเฉย ไม่ยอมผลักดันตัวเองลงไปซักที ศักยภาพที่อยู่ภายในตัวพวกเขาจึงสูญเปล่าเพราะไม่ถูกดึงมาใช้แม้แต่น้อย
ดังนั้น เรามาดูกันว่า 4 วิธีที่จะช่วยดึง ศักยภาพอันน่าทึ่ง ที่ซ่อนในตัวคุณออกมามีอะไรบ้าง

1. ตัดสินใจไปเลย อย่าเอาแต่ลังเล!

ยิ่งมีตัวเลือกมาก ก็ยิ่งเลือกยาก ภาวะนี้เรียกกันว่า Analysis-paralysis ซึ่งจะเกิดกับหลายๆ คนที่พอต้องเผชิญกับตัวเลือกมากมาย ก็จะชะงักไป ไม่สามารถตัดสินเลือกอะไรได้
ในตัวเราทุกคนล้วนมีเสียงที่คอยนำทางการตัดสินใจ จงสดับฟังและเชื่อในเสียงนั้น การเริ่มต้นทำอะไรบางอย่างก็เหมือนการอาศัยแรงดุนให้ลูกบอลหิมะเริ่มกลิ้งลงเนินไปนั่นเอง
แม้ว่าสิ่งที่คุณเลือกอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่ถือว่าก้าวหน้ากว่าการเอาแต่นั่งจมจ่อมอยู่อย่างนั้น และจำไว้ว่าระหว่างการเดินทาง คุณก็ยังสามารถจะปรับเปลี่ยนเส้นทางหรือจุดหมายปลายทางได้ทุกเมื่อ

2. อย่าเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์

ในหนึ่งวัน ทุกคนมีเวลาทั้งหมด 1,440 นาทีเท่ากัน ดูเหมือนเหลือเฟือนะ แต่เราก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าเวลามันผ่านไปรวดเร็วขนาดไหน หยุดทำนั่นนิดนี่หน่อย เผลอๆ ก็เสียเวลาไปหลายสิบนาทีแล้ว ถ้าหากเราทุกคนมีเวลาในแต่ละวันเท่าๆ กันที่จะพัฒนาตนเอง แล้วเพราะอะไรบางคนจึงประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่นๆ ล่ะ?
สิ่งสำคัญนั่นก็คือ การวางแผน การทำโปรเจ็คต่างๆ มักมีความยาก และต้องอาศัยแรง เวลามากกว่าที่คิดไว้เสมอ ดังนั้นคุณควรจะวางแผนการบริหารเวลาให้รอบคอบและอยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้ด้วย
การบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพทำให้คุณสามารถดึงศักยภาพของตนเองออกมาได้เต็มที่ อุปสรรคในการทำงานก็น้อยลง หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้ผลดีก็คือ การถามตัวเองก่อนว่าสิ่งที่ทำจะไปช่วยเติมเต็มศักยภาพของคุณหรือไม่? คำถามนี้จะทำให้คุณรู้ว่ามีสิ่งใดบ้างที่ใช้เวลาทำไปโดยไม่เกิดประโยชน์กับตัวเอง

3. รู้มูลค่าของสิ่งที่ต้องการ

จงจดจำไว้ว่าคนเรา ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง ทุกครั้งที่ตัดสินใจเลือกอะไรก็ตาม คุณก็ต้องเสียสละบางสิ่งไปด้วยเสมอ เช่น บางครั้งคุณก็ต้องปฏิเสธโอกาสดีๆ มากมายเพื่อรอโอกาสที่ดีกว่า
คุณต้องยอมสูญเสียเพื่อจะได้ใช้ชีวิตให้เต็มที่ไม่ว่าจะเป็นด้านมิตรภาพ ชีวิตคู่ การเลี้ยงลูก การทำงาน หรือกระทั่งงานอดิเรก นึกถึงสิ่งที่ต้องการมากที่สุดและตัดสินใจว่าสิ่งไหนบ้างที่คุณพร้อมใจยินยอมเสียสละทั้งเวลา เงิน โอกาส และความสัมพันธ์เพื่อให้มันไปสู่ความสำเร็จ การตัดสินใจจะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมากหลังจากได้พูดคุยกับตัวเองอย่างตรงไปตรงมา

4. พัฒนาทักษะการแก้ไขปัญหาของตัวเอง

ไม่ว่าคุณจะระมัดระวังตัวแค่ไหน ก็ยังไม่วายที่ปัญหาจะเดินทางมาเจอคุณได้ ซึ่งการจัดการกับปัญหานี่แหละที่อาจจะสามารถพัฒนาคุณ หรืออาจจะลดทอนศักยภาพในตัวคุณก็ได้ หากคุณไม่เห็นมันเป็นโอกาสในการเติบโตทางความคิดและจุดประกายศักยภาพในตัวคุณ มันก็จะกลายเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางคุณแทนยังไงล่ะ
จงเผชิญหน้ากับปัญหาอย่างสร้างสรรค์ อย่าปล่อยให้มันมาหยุดยั้งไม่ให้คุณก้าวไปข้างหน้า และค้นหาประโยชน์จากปัญหาเหล่านั้นให้พบ ความล้มเหลวมอบบทเรียนให้คุณได้มากกว่าความสำเร็จเสียอีกนะ

มาเริ่มกันเถอะ!

เรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจของศักยภาพในตัวมนุษย์คือมันสามารถเพิ่มพูนขึ้นได้ด้วยตัวของมันเองขอเพียงเริ่มต้น เหมือนกับที่ต้องอาศัยแรงผลักในตอนต้นเพื่อให้ลูกบอลหิมะกลิ้งลงเนินมาเรื่อยๆ ได้ด้วยพลังงานต่อเนื่องจากการเคลื่อนไหว
ลองนึกถึงผู้คนที่คุณเคารพนับถือดูสิ อะไรที่ทำให้คุณชื่นชมพวกเขา? บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขารู้ดีว่าตนเองมีศักยภาพในตัวอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ผู้คนที่มีพลังงานแบบนี้มักจะดึงดูดให้คนอยากจะเข้าใกล้และเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่พวกเขาทำ
ดังนั้นแล้ว ในวันนี้คุณเองก็เลือกได้เช่นกันว่าจะนั่งอยู่เฉยๆ บนยอดเขาเอาแต่ครุ่นคิดถึงสิ่งที่อาจทำได้ หรือ จะผลักตัวเองให้กลิ้งลงยอดเขานั้นและจัดการกับทุกๆ อุปสรรคที่ขวางทางข้างหน้าดีล่ะ?

03 พฤษภาคม 2560

25 คำคม “สร้างแรงใจในชีวิต” เพื่อช่วยคุณเริ่มต้นเช้าวันใหม่อย่างมั่นใจ!

เป็นเรื่องสำคัญที่ในทุก ๆ วัน เรามักจะให้ความสนใจต่อความคิดและวิธีคิดของเราเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งเหล่าคำคมสร้างแรงบันดาลใจของคนที่ประสบความสำเร็จก็เป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง ที่จะช่วยทำให้เรามีทัศนคติที่ดีและมีวิธีคิดใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ แถมยังสามารถสร้างแรงใจให้กับเราได้เป็นอย่างดีทีเดียว แถมไม่ได้มีประโยชน์แค่สำหรับเราเท่านั้น เพราะมันยังส่งผลดีต่อผู้คนรอบข้างด้วย ไม่ว่าจะเป็นเหล่าผู้ร่วมงาน ครอบครัว หรือเพื่อนฝูง หากคุณเป็นคนที่มีแรงบันดาลใจอยู่เต็มเปี่ยมสม่ำเสมอ ผู้คนรอบข้างคุณก็จะได้รับแรงบันดาลใจเหล่านี้จากคุณด้วยเช่นกัน
ดังนั้นในทุกๆ เช้าของวันใหม่ ลองให้เหล่าคำคมเหล่านี้ เข้ามามีส่วนช่วยผลักดัน สร้างแรงใจในชีวิตคุณดูบ้าง ไม่แน่ว่าชีวิตคุณอาจเปลี่ยนไปตั้งแต่ได้ค้นพบแนวคิดใหม่ๆ จากคำคมเหล่านี้ก็ได้ และนี่ก็คือ 25 คำคม สร้างแรงใจในชีวิต เพื่อช่วยคุณเริ่มต้นเช้าวันใหม่อย่างมั่นใจ
1. ตัวฉันเพียงคนเดียวไม่อาจเปลี่ยนโลกใบนี้ได้ แต่ฉันสามารถโยนก้อนหินลงไปในน้ำ เพื่อให้ผิวน้ำกระเพื่อมและขยายออกไปเรื่อยๆ ได้  แม่ชีเทเรซา (Mother Teresa)
2. โชคชะตาได้กำหนดให้คุณเป็นคนเลือกในสิ่งที่คุณต้องการจะเป็น  ราล์ฟ วอลโด เอเมอร์สัน (Ralph Waldo Emerson)
3. การมีความรู้เพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่พอ เราต้องรู้จักนำมันออกมาใช้ และการมีความตั้งใจอย่างเดียวนั้นยังน้อยไป เราต้องรู้จักลงมือทำ  เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci)
4. ผมขอตายไปกับความหลงใหล ดีกว่าตายไปกับความเบื่อหน่าย  วินเซนต์ แวน โก๊ะ (Vincent van Gogh)
5. “จงสร้างฝันของคุณเอง มิฉะนั้นคนอื่นจะจ้างคุณให้ไปช่วยสร้างฝันของพวกเขา” — ฟาราห์ เกรย์ (Farrah Gray)

6. ถ้าฉันตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ก็ไม่มีใครมาหยุดฉันได้หรอก  อายน์ แรนด์ (Ayn Rand)
7. สิ่งที่ยากที่สุดคือการตัดสินใจที่จะลงมือทำ และส่วนที่เหลือก็เป็นเพียงความมุ่งมั่นเท่านั้นเอง  อะมีเลีย แอร์ฮาร์ต (Amelia Earhart)
8. โอกาสเกิดขึ้นเองไม่ได้ คุณต่างหากที่ต้องสร้างมันขึ้นมา  คริส การ์ดเนอร์ (Chris Grosser)
9. อะไรที่ดูเหมือนเป็นความยากเย็นเข็ญใจ แท้จริงแล้วย่อมแฝงไว้ด้วยสิ่งดีๆ อยู่ภายใน  ออสการ์ ไวลด์ (Oscar Wilde)
10. การได้รับแรงบันดาลใจไม่ได้ทำให้คุณเสียอะไรไปเลย แต่มันกลับช่วยบันดาลทุกสิ่งมาให้กับคุณ เมอร์เรย์ นิวแลนด์ส (Murray Newlands)
11. ฉันเชื่อว่าความสำเร็จของฉัน มาจากการที่ฉันไม่เคยสร้างข้อแก้ตัวให้กับสิ่งใด  ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล (Florence Nightingal)
12. “การมีเป้าหมายที่ชัดเจน คือจุดเริ่มต้นของทุกๆ ความสำเร็จ  ครีเมนท์ สโตน (W. Clement Stone)

13. 80% ของความสำเร็จ ล้วนเกิดจากการลงมือสร้างมันขึ้นมา  วูดดี อัลเลน (Woody Allen)
14. เวลาของคุณมีจำกัด จงอย่าเสียเวลาไปกับการใช้ชีวิตในแบบของคนอื่น  สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs)
15. “คนเรามักบอกว่าแรงบันดาลใจนั้นได้รับมาไม่นานก็จางหายไป ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากการอาบน้ำนั่นแหละ นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมผมถึงมักจะให้คำแนะนำเป็นประจำทุกวัน  ซิก ซิกลาร์ (Zig Ziglar)
16. “จงเริ่มจากจุดที่คุณยืนอยู่ จงใช้ในสิ่งที่คุณมี และจงทำในสิ่งที่คุณสามารถทำได้  อาเทอร์ แอช (Arthur Ashe)
17. “การต่อสู้ที่แท้จริง ไม่ใช่การชิงชัยที่หนึ่งเพื่อให้ได้เหรียญทอง แต่การตรากตรำสู้กับตัวคุณเองต่างหากล่ะ การต่อสู้กับจิตใจของคุณเอง นั่นแหละที่เป็นสถานที่ต่อสู้อันแท้จริง — เจสซี่ โอเว่นส์ (Jesse Owens)
18. ”คุณอาจจะรู้สึกผิดหวังเวลาที่คุณนั้นล้มเหลว แต่คุณจะรู้สึกสูญสิ้นทุกสิ่ง เวลาที่คุณไม่ได้ลงมือทำมัน  เบเวอร์รี่ ซิลส์ (Beverly Sills)
19. “คุณจะไม่มีวันก้าวข้ามมหาสมุทรไปได้เลย หากคุณไม่กล้าที่จะละสายตาออกจากชายฝั่ง  คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus)
20. “ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ เพราะคำมันก็บอกเองอยู่แล้วว่า Im possible!  ออเดรย์ เฮปเบิร์น(Audrey Hepburn)
21. “ผมค้นพบว่ายิ่งผมทำงานหนักมากขึ้นเท่าไหร่ ผมยิ่งโชคดีมากขึ้นเท่านั้น  ทอมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson)
22. ความสำเร็จ คือผลรวมของความพยายามเล็กๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นประจำทุกวัน — โรเบิร์ต คอลลีเออร์ (Robert Collier)
23. “ความกล้าหาญ ไม่ใช่การไร้ซึ่งความกลัว แต่คือการต่อสู้กับมันและพยายามอยู่เหนือมันให้ได้ มาร์ก ทเวน (Mark Twain)
24. “ที่เดียวที่คุณจะพบว่า ความสำเร็จมาก่อนการลงมือทำ ก็คือในพจนานุกรม — วิดัล แซสซูน (Vidal Sassoon)
25. เมื่อใดที่ฉันกล้าที่จะเป็นคนมั่นใจ และกล้าที่จะใช้ความเข้มแข็งเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ของฉัน เมื่อนั้นคำว่า ฉันกลัว ก็ค่อยๆ ลดหลั่นความสำคัญลง  ออเดร์ ลอร์ด (Audre Lorde)

Source : Entrepreneur