30 ตุลาคม 2559

9 สิ่งที่คุณ “ไม่มีวันพบเจอ” จากคนประสบความสำเร็จ



การนั่งอ่านรายการที่คนประสบความสำเร็จทำ มักเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นกิจวัตรยามเช้า ลักษณะนิสัย การตั้งเป้าหมายชีวิต หรือแม้แต่สิ่งที่ต้องทำก่อนนอนของพวกเขาก็ตาม แต่บางครั้งการได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่คนประสบความสำเร็จไม่มีทางจะทำ ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากันเลยทีเดียว
และก็นี่คือ 9 สิ่งที่คุณไม่มีวันพบเจอจากคนประสบความสำเร็จ ซึ่งถ้าหากคุณพยายามทำสิ่งเหล่านี้ให้น้อยลงได้ คุณจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

1. การไม่จมปลักอยู่กับอดีต

nature-fashion-person-woman
คนที่มัวใช้ชีวิตอยู่กับอดีตจะไม่มีทางรู้เลยว่าอนาคตภายภาคหน้านั้นมีอะไรรออยู่ พวกเขาจะสนใจแค่สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต “ฉันไม่น่าทำแบบนั้นเลย” มากกว่าที่จะมองเห็นว่าในตอนนี้เขาสามารถทำอะไรให้ดีขึ้นได้บ้าง
คนที่ไม่ประสบความสำเร็จมักจะนำวันวานมาแทนที่วันนี้ ซึ่งก็จะทำให้พวกเขาสุญเสียวันพรุ่งนี้ไปได้ด้วยเช่นกัน
“คุณสามารถปล่อยให้อดีตมาบงการคุณได้ แต่อย่าปล่อยให้มันมากักขังคุณ

2. การไม่กลัวที่จะเสี่ยง

การหวาดกลัวความเสี่ยงอาจทำให้คุณเสียใจไปตลอดชีวิต นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อคุณไม่กล้าที่จะเสี่ยง บ่อยครั้งที่คุณมักจะมองย้อนกลับไปแล้วนั่งเสียดายและบ่นซ้ำ ๆ ว่า “ถ้าวันนั้นฉันตัดสินใจทำไป…”
อย่ากลัวที่จะก้าวไปในที่ ๆ เราไม่คุ้นเคย เพราะสิ่งน่ากลัวที่เห็นอาจเป็นเพียงภาพในหัวที่เราคิดจิตนาการขึ้นมาเองก็ได้ ยังไงต้องลองสักตั้ง!

3. การไม่คิดมากกับความล้มเหลว

fitness-jump-health-woman-56615
เราอยู่ในโลกของการหลงใหลในความสมบูรณ์แบบ ชัยชนะ ความสำเร็จ และการมีส่วนร่วม แต่ความเป็นจริงแล้ว ความสำเร็จไม่ได้มาง่าย ๆ และล้วนต้องผ่านอุปสรรคขวากหนามมาก่อนทั้งนั้น และชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ก็ต้องแลกมาด้วยความพ่ายแพ้ล้มเหลวมาก่อนด้วยเช่นกัน
“หากคุณล้ม จงฉุดตัวเองขึ้นมา ปัดเนื้อปัดตัว แล้วก้าวต่อไป

4. การไม่หาข้ออ้าง

คุณมักจะหาข้ออ้างในเวลาที่คุณกลัวที่จะเสี่ยง ซึ่งมักเกิดจากการที่ “คุณเคยพยายามแล้วแต่ล้มเหลว” หรือในบางครั้งก็อาจเกิดจากการที่ “คุณไม่พยายาม….แล้วก็ล้มเหลว” ซึ่งหากคุณไม่ได้พยายามก็อย่าปิดบังมันด้วยข้ออ้างต่างๆ เลย เพราะคุณแค่ขี้เกียจเท่านั้นเอง ไม่มีใครเชื่อคุณหรอก ดังนั้น กลับไปลองพยายามอีกสักครั้งดูสิ!

5. การไม่ถือโทษโกรธเคืองใคร

ยิ้ม ความสุข
อะไรที่ปล่อยได้ก็ปล่อยมันไปเสียบ้าง การถือโทษโกรธเคืองนั้นคือการจมอยู่กับอดีตที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แถมยังมีแต่จะส่งผลเสียต่อตัวคุณเองทั้งนั้น ไม่ใด้ส่งผลต่ออีกฝ่ายเลย

6. การไม่ฉุดดึงใครไว้

หากว่าใครก็ตามที่เขาเกิดประสบความสำเร็จขึ้นมา มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องกลายเป็นผู้แพ้ และไม่จำเป็นที่จะต้องไปอิจฉาหรือฉุดดึงเขาไว้ด้วย ทางที่ดีที่สุดคือปล่อยให้เขาพยายามและคว้าชัยชนะไปเสียจะดีกว่า ซึ่งสิ่งที่คุณพอจะทำได้ก็คือ การสนับสนุนและร่วมยินดีไปกับเขานั่นเอง
“จงเป็นผู้ชนะที่มีน้ำใจ และเป็นผู้สนับสนุนที่ยิ่งใหญ่”

7. การไม่ไว้ใจดวงหรือโชคลาภ

เรียนรู้
สิ่งที่น่าแปลกเกี่ยวกับโชคลาภก็คือ “โชคลาภจะเข้าข้างคนที่พยายามมองหามัน ไม่ใช่คนที่เฝ้ารอมัน” เพราะในความเป็นจริงแล้ว โอกาสของความโชคดีนั้นจะเพิ่มขึ้นตามการทำงาน ความกระตือรือร้น และการขวนขวายของคุณเอง
“คนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีโชคลาภ ก็เพราะพวกเขาพากเพียรทำงาน”

8. การไม่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์

ไม่เสียเวลาไม่ได้หมายความว่าให้ทำตัวยุ่งตลอดเวลาหรอกนะ  แต่มันหมายความว่าควรใช้เวลาอย่างมีค่าที่สุด นั่นคือ อย่าเสียเวลาที่มีค่าของคุณไปกับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ได้มีประโยชน์กับคุณ เพราะเวลานั้นไม่ใช่เงินในบัญชีที่จะฝากเพิ่มได้เรื่อย ๆ คุณไม่สามารถหาซื้อเวลาเพิ่มได้ เมื่อคุณใช้ไปแล้วมันก็จะหมดไป ดังนั้นควรคิดให้รอบคอบและใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด

9. การไม่ยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง

ทำงาน
ไมเคิล จอร์แดน ไม่ได้ชูทบาสเกตบอล 3 แต้มลง ในการแข่งครั้งแรกของเขา
ไทเกอร์ วูดส์ ก็ไม่ได้ตีลูกลงหลุมได้ภายในการตีครั้งเดียว ในการเล่นครั้งแรกของเขาเช่นกัน
การจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จต้องหมั่นฝึกฝน ต้องใช้ความพยายาม ไม่สร้างข้อจำกัดให้ตัวเอง และต้องใช้ความเพียรในการลบจุดบกพร่องต่าง ๆ ของตัวเอง เพื่อก้าวข้ามทุกข้อจำกัดที่เคยมี
“เราทุกคนมีความฉลาดหลักแหลมในตัวเองทั้งนั้น เพียงแต่คุณต้องมองข้ามข้อจำกัดที่คุณสร้างขึ้นให้กับตัวเอง แล้วคุณจะรู้ว่าความสำเร็จอยู่ใกล้แค่เอื้อม”

Source : inc

28 ตุลาคม 2559

5 พฤติกรรมอันชาญฉลาดที่จะช่วยพัฒนาชีวิตคุณให้ดีขึ้น



มีไม่กี่คนที่จะสามารถนำความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มาต่อยอดให้ความคิดนั้นสำเร็จได้  และหนึ่งในคุณสมบัติที่แยกคนที่ประสบความสำเร็จออกจากคนที่ไม่ประสบความสำเร็จก็คือ ความสามารถและความเต็มใจในการทำสิ่งใดๆ ให้สำเร็จ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านิสัยเพียงอย่างเดียวจะสามารถแยกผู้ชนะออกจากผู้แพ้ได้ แท้ที่จริงแล้วมันมีนิสัยหลายอย่างที่ถ้าคุณทำอย่างต่อเนื่อง มันจะมีส่วนช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้ และ ความต่อเนื่อง นี้เองที่สำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว เหมือนการที่คุณออกกำลังกาย หากคุณปฎิบัติไม่เป็นประจำคุณก็จะไม่มีทางแข็งแรงและสุขภาพดีขึ้นได้ ซึ่งการพัฒนาทักษะก็ไม่ต่างกัน
ในขณะที่หลายๆ คนมีพฤติกรรมและนิสัยการทำงานที่ต่างกันออกไป แต่มีพฤติกรรมส่วนหนึ่งอยู่ 5 ข้อ ที่เชื่อว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกับคุณได้อย่างแน่นอน

1. ตั้งคำมั่นสัญญาตัวเอง

เมื่อคุณตั้งคำมั่นสัญญากับใครไว้แล้ว คุณมักจะรักษามันเพื่อรักษาเกียรติของตัวเองหรือไม่ก็เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับบุคคลนั้นๆ แล้วเวลาคุณให้คำมั่นสัญญากับตัวเองล่ะ? แน่นอนว่าการรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับตนเองย่อมทำได้ยากกว่าการรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผู้อื่น อย่างไรก็ตาม การตั้งคำมั่นสัญญากับตัวเองล้วนช่วยเพิ่มความมีศักยภาพและความมั่นใจในตัวคุณได้ หากคุณอยากรู้สึกว่าไม่มีอะไรหยุดยั้งคุณได้ ให้ลองเริ่มต้นจากการให้คำมั่นสัญญากับตัวเอง มันจะช่วยให้คุณเป็นคนที่แกร่งขึ้นก็ได้
“สิ่งเล็กๆ ที่ดูเหมือนไม่สำคัญ แต่กลับเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะสิ่งเล็กๆ นี่แหละ ที่ทำให้เกิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้” – จอร์น วูเดน (JOHN WOODEN)

2. จดบันทึกความคิดของคุณโดยทันที

เขียนโน๊ต
ส่วนใหญ่แล้วความคิดดี ๆ มักจะลอยผ่านเข้ามาในหัวของเราเหมือนปุยนุ่นก้อนใหญ่ที่สามารถลอยหายไปได้อย่างง่ายดาย และไม่มีอะไรจะน่าปวดใจไปกว่าการพยายามรื้อฟื้นไอเดียดี ๆ ที่ได้ลอยหายไปจากความทรงจำอีกแล้ว เพราะฉะนั้นหากมีไอเดียหรือแรงบันดาลใจดี ๆ แวบเข้ามาในหัว คุณต้องรีบจดบันทึกมันไว้ทันที จะเป็นการอัดเสียง หรือจะเขียนคีย์เวิร์ดที่จะทำให้คุณจำได้เมื่อไรก็ตามที่อ่านมันก็ได้

3. ไม่ควรจริงจังกับชีวิตมากจนเกินไป

จริงอยู่กับคำคมที่ว่า “ถ้าตัวคุณเองไม่จริงจังกับชีวิต ก็ไม่มีใครหรอกที่จะมาจริงจังกับคุณ” แต่โดยส่วนใหญ่ คนเรามีแนวโน้มที่จะเข้าหาคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองมากกว่าคนที่มีชีวิตที่จริงจังเคร่งเครียด ซึ่งไม่ค่อยน่าเข้าหาสักเท่าไหร่นัก ยกตัวอย่างวิดีโอทางการตลาดเจ้าหนึ่งที่โฆษณามีดโกนหนวดในแบบตลกขบขันเรียกเสียงฮาและรอยยิ้มจากผู้ชม ซึ่งในวีดิโอนี้แทบจะไม่ได้มุ่งเน้นการขายมีดโกนหนวดเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือภาพลักษณ์ของแบรนด์กลับดีขึ้น ผู้คนให้ความสนใจและเปิดใจรับมันมากขึ้น

4. พัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ

แสงแดดยามเช้า
การสร้างความท้าทายให้กับตัวเองนั้นจะช่วยให้คุณเป็นคนที่ปรับตัวเก่ง สิ่งที่คุณเลือก จะเป็นตัวกำหนดตัวคุณในวันนี้และตัวคุณในวันข้างหน้า และการมีสุขภาพที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับการวิ่งออกกำลังกายบนลู่วิ่งเพียงอย่างเดียว เพราะนอกจากสุขภาพร่างกายแล้ว ยังต้องมีสุขภาพจิตและสุขภาพทางอารมณ์ที่ดีด้วย ซึ่งจะมาช่วยทำให้ชีวิตคุณเกิดความสมดุลและเป็นคนที่เพียบพร้อมรอบด้านยิ่งขึ้น เราทุกคนล้วนอาจเคยเจอกับคนที่ฉลาดหลักแหลมมากแต่กลับมีปัญหาทางด้านการเข้าสังคม ดังนั้นคุณจึงควรพัฒนาทักษะทุก ๆ ด้านของตัวเองในทุกครั้งที่คุณมีโอกาส ด้านไหนที่แย่จงพัฒนาด้านนั้นเพิ่ม เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีแก่ตัวคุณเอง แล้วคุณจะมีความสุขและความสำเร็จในชีวิตยิ่งขึ้นไปอีก

5. จงซื่อสัตย์

คำพูด

ถ้าคุณอยากตอบแทนใครสักคน ‘ความซื่อสัตย์’ คือการตอบแทนที่ดีเลยทีเดียว การสร้างมิตรภาพที่ดีควรทำด้วยความซื่อสัตย์และจริงใจ ตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่เสียมารยาท เพราะคนทุกคนย่อมชื่นชอบคนที่มีความซื่อสัตย์และเกลียดคนหลอกลวงกันทั้งนั้น เมื่อเขารู้ว่าคุณเป็นคนอย่างไรแล้ว เขาจะแสดงความจริงใจตอบแทนคุณ ต้องการเข้าหาคุณ และขอคำแนะนำจากคุณเอง
ที่กล่าวมาทั้ง 5 ข้อนี้ เป็นเพียงพฤติกรรมบางส่วนเท่านั้นที่เราจะเห็นได้ว่า มันสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับเราและคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี ดังนั้น อย่าลืมฝึกฝนพฤติกรรมดีๆ เหล่านี้ด้วยล่ะ
Source : Entrepreneur

9 สัญญาณที่บ่งบอกว่า “คุณประสบความสำเร็จแล้ว” ถึงแม้อาจจะคิดว่ายังก็ตาม



ถ้าคุณเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูง มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่คุณจะต้องพบกับความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เป้าหมายที่สูงชันย่อมนำไปสู่อุปสรรคที่มากมายขึ้นเช่นกัน
ความสำเร็จที่แท้จริงคือการตอบคำถามให้ได้ว่า คุณคือใคร? และ ก้าวไปได้มากแค่ไหนแล้ว? ถ้าคุณกำลังคิดว่าคุณไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่คุณควรจะเป็น นั่นอาจเป็นเพราะคุณเปรียบเทียบตัวเองกับหลักเกณฑ์ที่ผิด ๆ อยู่ และในบางครั้งสิ่งที่คุณต้องการจริง ๆ ก็คือ สิ่งที่จะช่วยเตือนให้คุณรู้ว่า…คุณได้ประสบความสำเร็จอะไรในชีวิตไปแล้วบ้าง? และตัวบ่งบอกความสำเร็จต่อไปนี้จะช่วยเตือนให้คุณมองเห็นความสำเร็จได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

1. คุณไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาลอีกต่อไป

คนที่ประสบความสำเร็จหลายคนมักจะทำตัวเหมือนกับเป็นศูนย์กลางของจักรวาล โลกทั้งใบคือโลกของเขาและเราคือผู้อาศัย คุณคิดว่าอย่างนั้นไหม? แต่นั่นไม่ใช่การประสบความสำเร็จหรอก การประสบความสำเร็จที่แท้จริง คือการที่คนเรารู้จักเข้าอกเข้าใจผู้อื่น รวมทั้งตระหนักได้ว่าทุกๆ ความฝันและความรู้สึกของผู้อื่นนั้น สำคัญไม่น้อยไปกว่าความฝัน อารมณ์ และความรู้สึกของตัวคุณเองเลย เพราะความสำเร็จของเราจะเกิดขึ้นไม่ได้อย่างแน่นอนถ้าขาดคนเหล่านั้นไป

2. คุณเป็นคนคิดในแง่บวก

การจะมีชีวิตที่มีความสุขได้นั้น ความหวังและการมองโลกในแง่ดีคือองค์ประกอบที่สำคัญ ถ้าคุณเอาแต่คิดมากเกี่ยวกับสิ่งที่ดูผิดที่ผิดทาง คุณก็จะกลายเป็นคนที่ขมขื่นและพบเจอแต่ความไม่พอใจสักที เมื่อเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น ไม่ว่าคุณจะประสบผลสำเร็จกับอะไรมา คุณก็จะพลาด เพราะการประสบความสำเร็จที่แท้จริงหมายถึงการมองเห็นถึงด้านดี ๆ และมีความสดใสคงอยู่เสมอ รวมไปถึงต้องความเชื่อที่ว่าคุณนั้นมีพลังที่จะสามารถพลิกให้สถานการณ์ที่แย่สุด ๆ นั้นกลับดีขึ้นมาได้ด้วย

3. คุณเข้าใจดีว่าความล้มเหลวไม่ได้อยู่คู่กับคุณตลอดไป

คุณคงจะเคยได้ยินว่า “คนที่ไม่เคยล้มเหลว แท้จริงแล้วคือคนที่ไม่เคยลองพยายามทำอะไรเลย” เพราะฉะนั้นเมื่อใดที่คุณก้าวพลาดขึ้นมา ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณนั้นเป็นคนที่ล้มเหลว ในทางตรงกันข้ามคุณได้เปิดโอกาสให้ตัวเองได้รวบรวมเอาความล้มเหลวเหล่านั้น มาเป็นโอกาสให้คุณได้เรียนรู้บางสิ่งและก้าวต่อไปได้ ถ้าคุณยังคงติดอยู่กับความรู้สึกที่ล้มเหลว จงรู้ไว้เลยว่าคุณจะไม่มีวันประสบกับความสำเร็จอย่างแท้จริง จนกว่าคุณจะเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดพลาดของตัวเองได้ ความผิดพลาดของคุณนั้นจะช่วยปูทางให้คุณไปสู่ความสำเร็จ โดยมันจะชี้หนทางที่ถูกต้องให้คุณเมื่อคุณกำลังก้าวไปผิดทาง
“การค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด มักจะมาในเวลาที่คุณรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวังมากที่สุด”
ความท้อแท้นี้แหละที่จะนำทางให้คุณเริ่มคิดถึงอะไรใหม่ ๆ ที่ต่างออกไป ช่วยให้คุณได้ลองมองนอกกรอบและมองเห็นถึงหนทางแก้ไขปัญหาที่คุณได้พบเจอ

4. คุณรับรู้มุมมองต่างๆ ด้วยเหตุผล

เรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นได้เสมอ เพราะมันคือส่วนหนึ่งของชีวิต อย่างไรก็ดีวันที่แย่ที่สุดของเรา อาจเทียบไม่ได้เลยกับวันธรรมดาของใครสักคนที่กำลังเผชิญปัญหาอันหนักหน่วงจริง ๆ อย่าง การไม่มีอะไรจะกิน หรือการพยายามเอาชีวิตรอดจากสงครามกลางเมือง การล๊อครถโดยที่ลืมกุญแจไว้ในรถ หรือแม้แต่การพลาดเลื่อนตำแหน่ง เรื่องพวกนี้อาจจะไม่ได้ฟังดูเลวร้ายขนาดนั้น หากคุณเรียนรู้ที่จะพัฒนาทัศนคติให้ดี เมื่อคุณเชียวชาญในการที่จะเปิดใจยอมรับถึงปัญหาต่าง ๆ ตามความจริงแล้ว ให้รู้ไว้เลยว่าคุณได้ทำสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่ง

5. คุณขอความช่วยเหลือเมื่อคุณต้องการมัน

การปฏิเสธที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ถึงแม้ว่าคุณกำลังติดขัดจนไปต่อไม่ถูก นี่คือสัญญาณของการมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่ไม่สมดุลดีนัก เนื่องการขอความช่วยเหลือนี่แหละที่แสดงให้ได้เห็นว่า คุณไม่กลัวหากคนจะมองว่าคุณเองยังก็มีจุดอ่อนเหลืออยู่ และคุณเข้าใจดีว่าคนเรานั้นไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตนเองทั้งหมด

6. คุณตระหนักได้ว่าชีวิตไม่ใช่เกมที่มีผู้ชนะได้เพียงแค่หนึ่งเดียว

และมันก็ไม่ใช่การแข่งขันเพื่อผลัดกันรุกผลัดกันรับด้วย แค่เพียงเพราะคุณไม่ได้ประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ มันก็ไม่ได้หมายว่าคุณพ่ายแพ้อย่างย่อยยับเสียเมื่อไหร่ เพียงแค่มันยังไม่ใช่ช่วงเวลาของคุณเท่านั้นเอง แต่สัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกได้ถึงความสำเร็จอย่างชัดเจนก็คือ การที่คนเราสามารถยินดีให้กับความสำเร็จของผู้อื่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ

7. คุณสามารถละทิ้งเรื่องราวที่แย่ๆ ในอดีตไปได้

จำวันที่คุณเริ่มคิดว่าความสัมพันธ์อันมั่นคงนั้นช่างจืดชืดได้ไหม? หรือการถูกปฏิบัติแบบเดิม ๆ จากใครสักคนจนกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายเสียเหลือเกิน ถ้าความคิดแย่ ๆ เหล่านี้กลายเป็นเรื่องของอดีตไปแล้วล่ะก็ ยินดีด้วย! เพราะการที่คุณหันมาสนใจความรู้สึกที่มั่นคงในปัจจุบันแล้วฝังกลบเรื่องแย่ ๆ ในอดีตทิ้งไปได้นั้น คือการที่คุณกำลังจะประสบความสำเร็จแล้วล่ะ

8. คุณเลิกใส่ใจกับความคิดเห็นของคนอื่น

การเชื่อมั่นในหลักการของตนเอง การมีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ เรื่องใดที่คุณมองว่าคุณทำได้ดีที่สุดแล้ว คุณก็จะไม่กังวลกับมันอีกต่อไป คุณจะคิดว่าคุณนั้นทำได้ดีแล้วก็ต่อเมื่อคุณตระหนักได้ว่าความคิดเห็นของคนอื่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดเห็น และความเห็นของเขาเหล่านั้นไม่มีผลอะไรกับชีวิตของคุณ เพราะมันไม่สามารถเปลี่ยนตัวตนคุณได้

9. คุณยอมรับสิ่งที่คุณเปลี่ยนไม่ได้และเลือกเปลี่ยนในสิ่งที่ควรเปลี่ยน

ถ้าหากมีพายุเฮอริเคนกำลังเคลื่อนมาใกล้คุณ นั่นคือเหตุการณ์ที่คุณไม่สามารถหยุดมันได้ แต่เมื่อคุณตระหนักได้ว่าพายุเฮอริเคนที่กำลังใกล้เข้ามา เมื่อนั้นคุณจะสามารถพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ผลลัพธ์อันร้ายแรงของมันลดน้อยลงได้ หากบริษัทของคุณทำการลดพนักงานและคุณคุณถูกเลิกจ้างไป ทุก ๆ ช่วงเวลาที่คุณเสียไปกับการมัวปฏิเสธมันหรือหวนคิดถึงมันคือการถ่วงเวลาตนเองที่จะได้พบเจอสิ่งดี ๆ ที่รออยู่ตรงหน้า ดังนั้น คุณจะก้าวต่อไปได้อีกครั้งก็ต่อเมื่อคุณเริ่มทำการสำรวจทางเลือกที่คุณมี และวางแผนลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ที่คุณสามารถแก้ไขได้ การยอมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่คุณแก้ไขไม่ได้ คือตัวชี้วัดที่ดีที่สุดในการบ่งบอกถึงความสำเร็จ
มันไม่มีอะไรบอกได้เลยว่าคุณนั้นเป็นคนที่ล้มเหลว ขอเพียงแค่คุณคิดว่าคุณควรทำทุก ๆ สิ่งให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะความสำเร็จที่แท้จริงนั้นเริ่มต้นขึ้นจาก “ตัวของเราเอง”
Source : Entrepreneur

26 ตุลาคม 2559

ทำไมการอ่านถึงทำให้ “ฉลาดขึ้น” และ “ลดความเครียด” ได้ในเวลาเดียวกัน?


สมัยที่คุณยังเป็นเด็ก คุณใช้เวลาหลายชั่วโมง หรือนับวันนับคืนในการจมอยู่กับหน้ากระดาษและแสงไฟเพื่ออ่านหนังสือที่ตนเองสนใจมาก ๆ เล่มหนึ่ง แต่พอเมื่อถึงคราวที่โตเป็นผู้ใหญ่ เราต่างเฝ้ารอคอยค่ำคืนอันแสนพิเศษเช่นนั้นอีก แต่เพียงแค่จะเจียดเวลามาทำอาหารเย็นทานเองยังยากเลย แล้วการหาเวลาว่างมาอ่านหนังสือ คงต้องลืมไปได้เลย
ถึงอย่างนั้น หากว่าคุณกำลังพยายามก่อร่างสร้างธุรกิจขึ้นมาอยู่ล่ะก็ การอ่านนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากทีเดียว และยังมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากมายที่จะสนับสนุนให้คุณอ่านหนังสือเกี่ยวกับ การพัฒนาตัวเอง หรือ หนังสือประเภทผู้ประกอบการ

คุณจะค้นพบมุมมองใหม่ๆ

ประสบการณ์ มุมมอง และความรู้จากผู้ประกอบการคนอื่น ๆ ล้วนสามารถช่วยขัดเกลาความคิดในเรื่องการทำธุรกิจของคุณได้ ทั้งนี้ คุณไม่สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจากการเข้าร่วมกิจกรรมหรือสัมมนาต่าง ๆ ได้ทั้งหมดอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องการจะประหยัดงบประมาณด้วย ดังนั้น แหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดก็คือ หนังสือ เมื่อคุณอ่านหนังสือ ความสนใจของคุณจะไม่ถูกรบกวนโดยโทรศัพท์หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่จะพุ่งตรงไปยังหน้าหนังสือที่เหล่าผู้เขียนได้ถ่ายทอดเรื่องราวอันน่าสนใจและมีประโยชน์เอาไว้นั่นเอง

การอ่านจะทำให้คุณฉลาดขึ้น

มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากมายที่บ่งชี้ว่าการอ่านดีต่อสมองของคุณ ดังนั้น ถ้าต้องคอยดูแลกิจการ สมองของคุณก็ควรที่จะพร้อมรับมือกับงานเช่นกัน นักจิตวิทยากล่าวว่า ความฉลาดนั้นมีอยู่สามรูปแบบ ได้แก่
  • ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) คือ ความสามารถในการเข้าใจและตอบสนองต่ออารมณ์ของทั้งตนเองและผู้อื่น
  • เชาวน์ปัญญาที่มีมาดั้งเดิม (Fluid Intelligence) คือ ความสามารถในการแก้ไขปัญหา
  • เชาวน์ปัญญาที่เกิดจากการขัดเกลา (Crystallized Intelligence) คือ ความรู้ที่คุณมีอยู่
นอกจากการอ่านจะสามารถช่วยเสริมสร้างและพัฒนาความฉลาดทั้งสามประเภทนี้ได้แล้ว ยังส่งผลดีต่อความจำของคุณอีกด้วย จากงานวิจัยหนึ่งในนิตยสาร Neurology ฉบับออนไลน์ ที่ระบุว่า ผู้คนซึ่งเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นความคิด (เช่น การอ่านหนังสือ หรือแก้ปัญหาคณิตศาสตร์) มักจะมีความจำที่ดีและยืนยาวในชีวิตมากกว่า ไม่ว่าจะเริ่มอ่านตั้งแต่เด็กหรือโตแล้วก็ตาม

สมองของคุณจะปลอดโปร่งและผ่อนคลาย

การสร้างธุรกิจมักจะสูบกินทั้งพลังงานและสมาธิของคุณ แม้แต่ช่วงเวลาที่ไม่ได้ทำงานก็ยังเป็นการยากที่จะเลิกคิดถึงเรื่องงานที่ต้องทำในอนาคต ด้วยเหตุนี้เอง การอ่านจึงเป็นเหมือนกับการพักผ่อนจากโลกของผู้ประกอบการ เพราะเมื่อคุณหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน คุณจะได้เดินทางท่องไปยังต่างโลกจนลืมคิดถึงเรื่องอื่นใดไปเลย
ทีมนักวิจัยหนึ่งของมหาวิทยาลัย Sussex ค้นพบว่า การอ่านคือวิธีการผ่อนคลายความเครียดที่ดียิ่งกว่าการฟังเพลงหรือเดินเล่นเสียอีก
“อันที่จริงไม่สำคัญเลย ว่าคุณจะหยิบหนังสือประเภทไหนขึ้นมาอ่าน เพราะการที่ปล่อยให้ตัวเองได้เดินเข้าไปสู่โลกของหนังสือโดยสมบูรณ์แบบนั้น จะช่วยให้คุณได้หลีกหนีจากความกังวลและความเครียดจากงานในแต่ละวัน และได้ใช้เวลาไปกับการสำรวจโลกแห่งจินตนาการที่ผู้เขียนนั้นสร้างขึ้น” ซึ่ง ดร.เดวิด เลวิส ผู้ทำงานวิจัยชิ้นนี้กล่าวกับ The Telegraph ต่อว่า  “ทั้งนี้ การอ่านไม่ใช่แค่เพียงการเบี่ยงเบนความสนใจจากความเครียด แต่ยังเป็นอะไรที่มากกว่า การอ่านยังช่วยบริหารจินตนาการของเรา จากข้อความบนหน้ากระดาษไปกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ทำให้สามารถเข้าถึงสภาวะจิตที่สำคัญได้”

หนังสือประเภทพัฒนาตนเองช่วยได้

ในการดำเนินธุรกิจ บางครั้งมันก็เรียกร้องและกดดันคุณมากจนเกินไป จนทำให้คุณต้องระทมทุกข์กับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างเพื่อนหรือครอบครัว ในขณะเดียวกันก็ต้องพยายามดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสุขภาพจิต หรือสุขภาพร่างกายไปด้วย ดังนั้น ก่อนที่จะเดินผ่าน ชั้นหนังสือประเภท พัฒนาตนเองในร้านหนังสือไปเฉย ๆ ขอให้พิจารณาเรื่องนี้ให้ดีเสียก่อนว่า หนังสือพวกนี้ช่วยคุณได้จริงๆ
หนังสือประเภทนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยให้ผู้คนที่ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้ามีอาการที่ดีขึ้นได้ ซึ่งมหาวิทยาลัย Manchester ได้ตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นหนึ่งโดยมีการกล่าวถึงผู้คนที่เป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง แต่ได้รับผลดีจากการอ่านหนังสือเหล่านี้เหมือนกับคนทั่วไป โดยนักจิตวิทยาเรียกอาการนี้ว่า Bibliotherapy” หรือก็คือ การอ่านบำบัดที่สามารถช่วยเหลือผู้คนได้จริง นั่นเอง
และนี่ก็คือรายชื่อหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจและพัฒนาตัวเอง ทั้ง 4 เล่มที่ควรเริ่มอ่านเป็นอันดับแรกๆ
1. พฤติกรรมพยากรณ์ – Predictably irrational โดย Dan Ariely
พฤติกรรมพยากรณ์
ในฐานะเจ้าของธุรกิจแล้ว เรามักจะถูกบังคับให้ต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจอยู่ทุกวัน ปัญหาก็คือ เรากลับไม่ทันได้ตระหนักว่าการตัดสินใจส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นไปอย่างเป็นเหตุเป็นผลนัก ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ Dan Ariely ได้อธิบายว่าความคิดของคนเรานั้นทำงานอย่างไร และเหตุใดเราจึงมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจอย่างไร้เหตุผล เมื่ออ่านจบ คุณจะสามารถเข้าใจถึงแรงจูงใจของลูกค้า รวมถึงแรงผลักดันที่มีต่อตัวเองได้อย่างชัดเจน
2. คิดแล้วรวย  Think and Grow Rich โดย Napoleon Hill
คิดแล้วรวย
คิดแล้วรวย (Think and Grow Rich) เป็นหนึ่งในหนังสือเล่มแรก ๆ ที่ตั้งคำถามว่า “อะไรคือสิ่งที่ทำให้คนเรากลายเป็นผู้ชนะ?” มันคือหนังสือที่ให้แรงบันดาลใจในเรื่องของ การเป็นผู้นำ ลักษณะนิสัยทั่วไปของผู้ชนะ และ ความสำเร็จที่ผ่านมาในหน้าประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี โดยจะมุ่งเน้นไปที่ผู้ประกอบการชื่อดังอย่าง เฮนรี่ ฟอร์ด, โธมัส เอดิสัน และแอนดริว คาร์เนกี
แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเขียนไว้ในปี ค.ศ. 1937 แต่บทเรียนจากประวัติศาสตร์ภายในกลับยังคงสดใหม่และปรับใช้งานได้กับเหตุการณ์ในยุคปัจจุบัน ทำให้ “Think and Grow Rich” ยังคงเป็นหนังสือที่ควรค่าแก่การอ่านเสมอ
3. The Checklist Manifesto โดย Atul Gawande
The Checklist Manifesto
ผู้ประกอบการทุกคนต่างก็ต้องการจะประสบความสำเร็จ แต่หากจะไปให้ถึงความสำเร็จได้นั้น ล้วนจำเป็นจะต้องทำงานเป็นทีม ซึ่ง The Checklist Manifesto จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับว่า เราจะจัดการและผลักดันทีมอย่างไรถึงจะกลายเป็นทีมงานคุณภาพ
Atul Guwande ในฐานะศัลยแพทย์แล้ว เขาเป็นคนที่ทำงานเป็นขั้นเป็นตอนและสามารถสร้างความหลากหลายของผลลัพธ์เป็นอย่างดี เขาจึงใช้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เขาได้ศึกษาและพบเจอมาจากอุตสาหกรรมมากมาย เพื่อเป็นตัวอย่างในการอธิบายว่าการทำลิสต์รายการสามารถช่วยจัดการและพัฒนาทีมได้อย่างไร
4. จากบริษัทดีสู่ความเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่  Good to Great โดย Jim Collins
จากบริษัทดีสู่ความเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่
ในโลกของธุรกิจมักจะมีพื้นที่ให้กับการพัฒนาอยู่เสมอ ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ Jim Collins จะพาผู้อ่านไปชมบริษัทต่าง ๆ ถึง 28 แห่ง ที่ต่างก็ขยับขยายกิจการจากแค่บริษัทดีๆ ไปเป็นบริษัทดัง ๆ ที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังเล่าถึงประสบการณ์และขั้นตอนก่อนที่จะไปสู่ความสำเร็จได้ด้วย หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเสมือนเครื่องยืนยันว่า การจะประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องมีที่มาจากการเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่เสมอไป เพราะการเริ่มต้นจากก้าวเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ก็สามารถพาบริษัทของคุณไปถึงจุดที่สูงที่สุดได้เช่นกัน
สุดท้ายนี้ เอาเป็นว่าเรามาสนุกกับการอ่านกันดีกว่านะครับ เพราะไม่มีอะไรในโลกที่จะให้อะไร ๆ ได้เท่ากับการอ่านอีกแล้ว ดังนั้น จะมัวชักช้าอยู่ใย หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านก่อนที่จะสายเกินไปกันเถอะ!

Source : Entrepreneur

24 ตุลาคม 2559

10 สิ่งที่ “คนประสบความสำเร็จ” มักจะทำก่อนเข้านอน


 
คนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีกิจกรรมบางอย่าง ที่พวกเขาจำเป็นต้องทำตอนกลางคืนก่อนที่จะเข้านอน ซึ่งกิจกรรมที่พวกเขาทำนั้น มักเป็นกิจกรรมที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ หรือแม้แต่ช่วยตอกย้ำเป้าหมายทั้งในด้านการงานหรือด้านชีวิต
ก่อนที่คุณจะเข้านอนในวันนี้ ทำไมไม่ลองทำสิ่งเหล่านี้ดูบ้างล่ะ มันอาจช่วยให้คุณตื่นขึ้นมา และรู้สึกพร้อมที่จะก้าวเดินไปตามเป้าหมายที่คุณวางไว้

1. หันกลับไปมองวันที่เคยสำเร็จและล้มเหลว

คนที่ประสบความสำเร็จไม่เคยสิ้นหวังต่อความล้มเหลว ในทางกลับกัน พวกเขาจะย้อนกลับไปมองหามัน และสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทั้งในด้านที่ดีและไม่ดี พวกเขาจะเน้นไปที่การมองโลกในแง่บวกเสียมากกว่า โดยเลือกที่จะนำความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นมาเป็นบทเรียน เพื่อต่อยอดไปสู่ความสำเร็จในอนาคตต่อไป

2. สำนึกในบุญคุณ

ก่อนจะเข้านอนในวันนี้ ให้คุณหวนคิดว่ามีใครบ้างที่ช่วยเหลือคุณจนสำเร็จผล แล้วคุณได้ขอบคุณเขาบ้างแล้วหรือยัง? ถ้ายังก็อย่าลืมหาวิธีดี ๆ ที่จะแสดงความขอบคุณให้กับเขาด้วยล่ะ

3. จดบันทึกสิ่งที่ต้องทำในอนาคต

pen-calendar-to-do-checklist
คุณไม่จำเป็นต้องเขียนเป้าหมายไปเสียหมดทุกอย่าง เพียงแค่อาจจะเขียนแผนระยะสั้น ๆ ที่คุณตั้งใจจะลงมือทำในไม่ช้านี้ก็พอ หรืออาจจะเป็นการบันทึกสิ่งที่เร่งด่วนและสำคัญสำหรับวันต่อ ๆ ไปก็ได้

4. ตั้งนาฬิกาปลุก

นาฬิกา
ให้คุณตั้งนาฬิกาปลุกตามเวลาปกติที่เคยปลุกไว้อย่างสม่ำเสมอ คนที่นอนและตื่นตรงตามเวลามักจะมีแรงจูงใจในการทำงานในแต่ละวันมากยิ่งขึ้น

5. สนทนากับคนอื่น

การติดต่อกับญาติพี่น้องหรือบรรดามิตรสหาย ล้วนช่วยทำให้รู้สึกมีกำลังใจมากยิ่งขึ้นได้ในแต่ละวัน ซึ่งคุณก็น่าจะลองทักทายพูดคุยกับคนที่คุณรักก่อนเข้านอนดูบ้าง

6. อ่านหนังสือดี ๆ สักเล่ม

หนังสือ
ในขณะที่คุณหลับ สมองของคุณก็จะเก็บรวบรวมข้อมูลเหล่านี้เอาไว้ ซึ่งมันจะนำความรู้และแนวคิดดี ๆ ที่ได้จากหนังสือนั้น มาสร้างแรงบัลดาลใจให้กับคุณในวันถัดมาได้อีกด้วย

7. บอกกับใครซักคนว่าคุณรักเขา

การแสดงความรักให้กับใครซักคนก่อนนอน จะทำให้คุณมีทัศนคติในแง่บวกมากยิ่งขึ้น คนที่ได้รู้สึกถึงความรักนั้นมักจะตื่นขึ้นมาด้วยความสดใส และการมีความรักทั้งจากคนรักและคนในครอบครัว ล้วนช่วยสร้างความสำเร็จในหน้าที่การงานได้อีกด้วย

8. สวดมนต์หรือนั่งสมาธิ

ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ภาวนา หรือแม้แต่การนั่งสมาธิ การทำให้จิตใจสงบล้วนช่วยให้คุณได้ผ่อนคลายและหลับสนิทได้ ถึงแม้ว่าจะเผชิญกับปัญหาอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อได้ปฎิบัติเป็นประจำแล้ว มันก็จะมีส่วนช่วยให้คุณคิดหาทางออกจากของปัญหาที่เผชิญได้อีกด้วย

9. ทานอาหารว่างสักเล็กน้อย

พักเบรก
หากคุณเข้านอนไปด้วยอาการหิว มันก็จะรบกวนช่วงเวลานอนของคุณได้ ดังนั้น ในทุก ๆ วันคุณควรออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และอย่าลืมทานอาหารว่างมื้อเบา ๆ รองท้องสักนิดก่อนนอน

10. ฝันถึงชีวิตที่คุณต้องการจะเป็น

สิ่งสุดท้ายที่คนประสบความสำเร็จมักจะทำก่อนนอนก็คือ การฝันถึงชีวิตที่พวกเขาต้องการจะเป็น นอกไปจากนั้นแล้ว พวกเขาก็ยังรำลึกเหล่าคนที่เคยช่วยเหลือจุนเจือพวกเขามา รวมถึงเหล่าคนที่รักและสร้างแรงบันดาลใจแก่พวกเขาด้วย
การนอนหลับที่ดี เป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จ ถ้าหากคุณมีกิจกรรมดี ๆ ที่มักทำเป็นประจำก่อนนอนอยู่เสมอ คุณก็จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดใส และมีสมาธิกับสิ่งต่าง ๆ มากยิ่งขึ้นด้วย

Source : Business Insider

22 ตุลาคม 2559

ทำไมคุณต้องมี ความฉลาดทางอารมณ์สูง(EQ) ถึงจะประสบความสำเร็จ?


ความฉลาดทางอารมณ์ เป็นคำตอบว่า ทำไมคนที่มีไอคิวปานกลางถึงสามารถทำงานได้ดีกว่าคนที่มีไอคิวสูงแทบจะ 70% ของทั้งหมด นอกจากนี้ยังได้เปลี่ยนแปลงความคิดของผู้คนมากมายที่เคยคิดว่าไอคิวคือสิ่งเดียวที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ โดยงานวิจัยช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า ความฉลาดทางอารมณ์ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บางคนมีความสามารถโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ
ความฉลาดทางอารมณ์เป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวของเราทุกคน มันมีผลต่อการกระทำ วิธีใช้ชีวิตในสังคมที่ซับซ้อน และรวมไปถึงการตัดสินใจต่าง ๆ ความฉลาดทางอารมณ์ประกอบขึ้นจากทักษะทั้ง 4 อย่าง โดยแบ่งได้เป็นสองประเภทหลัก ๆ ได้แก่ ความสามารถส่วนตัว และ ความสามารถทางสังคม
ความสามารถส่วนบุคคล (Personal Competence) ประกอบด้วย ทักษะการตระหนักรู้ในตนเองและการจัดการตนเอง เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเราเองมากกว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น มันหมายถึงความสามารถในการรับรู้อารมณ์ของตัวเอง และการควบคุมนิสัย การกระทำของตัวเอง
  • การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness) คือ ความสามารถในการสังเกตอารมณ์ของตนเอง และตระหนักรู้เมื่อเกิดอารมณ์ต่าง ๆ ขึ้นในจิตใจ
  • การจัดการตนเอง (Self-Management) คือ ความสามารถในการใช้ความตระหนักในอารมณ์ของตนเองเพื่อปรับตัว และควบคุมการกระทำให้เป็นไปในทางบวก
ความสามารถทางสังคม (Social Competence) ประกอบด้วย ทักษะการตระหนักรู้ทางสังคมและการจัดการความสัมพันธ์ มันคือความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ การกระทำ และลักษณะของผู้อื่น เพื่อให้สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การตระหนักรู้ทางสังคม (Social Awareness) คือ ความสามารถในการสังเกตอารมณ์ของผู้อื่น และเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้
  • การจัดการความสัมพันธ์ (Relationship Management) คือ ความสามารถในการใช้ความตระหนักรู้ในอารมณ์ของตัวเองและผู้อื่น เพื่อให้การปฏิสัมพันธ์เป็นไปอย่างราบรื่น

ความฉลาดทางอารมณ์ ไอคิว และบุคลิกภาพนั้นมีความแตกต่างกัน

ความฉลาดทางอารมณ์ เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของการกระทำของมนุษย์ โดยมันแยกออกจากสติปัญญาโดยสิ้นเชิง ยังไม่มีการค้นพบว่าไอคิวมีความเชื่อมโยงต่อกันกับความฉลาดทางอารมณ์ เราจึงคาดเดาไม่ได้เลยว่าคนที่มีไอคิวสูงนั้นเขาจะมีความฉลาดทางอารมณ์ที่สูงตามหรือไม่
โดย สติปัญญาหรือไอคิว นั้น คือความสามารถในการเรียนรู้ ที่ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าใด มันก็ยังจะคงเดิม ไม่สามารถฝึกฝนเพื่อทำการเพิ่มพูนได้ แต่ความฉลาดทางอารมณ์นั้นเป็นทักษะที่ยืดหยุ่นได้ มันสามารถพัฒนาได้ผ่านการฝึกฝน
ส่วน บุคลิกภาพ คือองค์ประกอบส่วนสุดท้าย มันคือ “สไตล์” ที่บ่งบอกความเป็นตัวคุณ บุคลิกภาพเกิดจากความชอบหลาย ๆ อย่างที่ฝังลึกในใจ เช่น การเป็นคนเปิดเผยหรือคนเก็บตัว เป็นต้น
อย่างไรก็ตามบุคลิกภาพไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาคาดเดาระดับความฉลาดทางอารมณ์ได้เช่นกัน และเป็นสิ่งที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงไป เช่นเดียวกับไอคิว

ความฉลาดทางอารมณ์เป็นตัวที่บ่งบอกความสามารถ

คุณทราบไหมว่าความฉลาดทางอารมณ์มีผลต่อความสำเร็จในอาชีพการงานมากแค่ไหน? ตอบได้สั้นๆ ว่า มากสุดๆ เพราะมันเป็นสิ่งที่จะช่วยให้คุณทุ่มเทพลังงานไปในทิศทางเดียว ซึ่งจะทำให้เกิดผลสำเร็จมากกว่า เว็บไซต์ TalentSmart ได้ทำการทดสอบความฉลาดทางอารมณ์และทักษะอื่น ๆ 33 อย่าง แล้วผลสรุปพบว่าความฉลาดทางอารมณ์เป็นตัวบ่งบอกความสามารถในการทำงานที่เที่ยงตรงที่สุด โดยมีผลต่อความสำเร็จถึง 58% ในการทำงานทุกประเภท
ความฉลาดทางอารมณ์ของคุณเป็นพื้นฐานของทักษะสำคัญมากมาย มันมีผลต่อแทบทุกการกระทำ รวมไปถึงทุกคำพูดในแต่ละวันของคุณเลยทีเดียว
จากกลุ่มทดลอง พบว่ากว่า 90% ของคนที่ทำงานได้ดีเยี่ยมล้วนมีความฉลาดทางอารมณ์สูงเช่นกัน ขณะที่มีเพียง 20% ของคนที่ทำงานได้ไม่ค่อยจะดีนัก ที่มีความฉลาดทางอารมณ์สูง ดังนั้นมันจึงมีโอกาสน้อยมาก หากคุณจะทำงานให้ดีได้ โดยปราศจากความฉลาดทางอารมณ์
โดยทั่วไปแล้ว ผู้คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์สูงจะหาเงินได้มากกว่าคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ต่ำ ทั้งสองสิ่งนี้มีความเชื่อมโยงกันสูงจนสามารถกล่าวได้ว่า ยิ่งการที่มีความฉลาดทางอารมณ์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับ จะเท่ากับว่าเขาเหล่านั้นจะได้รับรายได้รายปีเพิ่มขึ้นตามมาด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้คนในทุก ๆ อาชีพ ทุกระดับทั่วโลกยึดถือเลยก็ว่าได้ และก็ยังไม่พบเจองานแบบไหนที่ความฉลาดทางอารมณ์ไม่ส่งผลต่อศักยภาพในการทำงานและระดับรายได้เลย

คุณสามารถพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ของตัวเองได้

การสื่อสารระหว่างสมองส่วนที่เป็นเหตุเป็นผลและส่วนของอารมณ์เป็นแหล่งกำเนิดของความฉลาดทางอารมณ์ นักประสาทวิทยาใช้คำว่า Plasticity ในการอธิบายความสามารถในการเปลี่ยนแปลงของสมอง ในขณะที่คุณค้นพบและฝึกฝนทักษะความฉลาดทางอารมณ์ใหม่ ๆ เซลล์ประสาทเล็กจิ๋วหลายพันล้านเซลล์ที่เชื่อมระหว่างศูนย์กลางเหตุผลและอารมณ์ของสมองจะยื่น “แขน” เล็กๆ ออกไปหาเซลล์ตัวอื่นต่อไปเรื่อย ๆ (ราวกับกิ่งก้านของต้นไม้) โดยหนึ่งเซลล์สามารถเชื่อมตัวกับเซลล์ใกล้ตัวได้ถึง 15,000 จุด การขยายตัวที่มีลักษณะเป็นลูกโซ่นี้จึงเป็นตัวการันตีได้ว่าไม่ใช่เรื่องยากเลยที่คนเราจะฝึกฝนนิสัยหรือพฤติกรรมใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นได้ในอนาคต
เมื่อคุณฝึกฝนสมองของตัวเองด้วยการฝึกทักษะความฉลาดทางอารมณ์ใหม่ ๆ ซ้ำ ๆ สมองของคุณก็จะเริ่มสั่งการให้กลายเป็นนิสัย และในเวลาไม่นาน คุณก็จะเริ่มตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างด้วยความฉลาดทางอารมณ์โดยไม่รู้ตัว  ในขณะเดียวกัน การเชื่อมต่อของเซลล์เพื่อรองรับนิสัยแบบเดิมนั้นก็จะหายไป เมื่อคุณเรียนรู้ที่จะควบคุมนิสัยเหล่านั้นด้วยเช่นกัน

Source : talentsmart



21 ตุลาคม 2559

7 ประโยคที่ ‘ไม่มีวันได้ยิน’ จากคนประสบความสำเร็จ



ความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่ได้มาง่าย ๆ เพียงชั่วข้ามคืน หากแต่ต้องอาศัยทั้งความพากเพียรพยายาม เวลา และการอุทิศตนอย่างเต็มที่ คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้นำ ผู้ประกอบการ หรือนักอุดมการณ์ ล้วนแล้วแต่มีวิธีการเฉพาะตัวของตนในการต่อสู้กับสิ่งที่ตนเชื่อ และพิสูจน์ให้สังคมเห็นว่าเขานั้นสามารถหลุดพ้นจากสิ่งที่ฉุดรั้งเขาไว้ได้ ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะมีวิธีการที่ต่างกันออกไป แต่ทุกคนกลับมีเป้าหมายเดียวกันนั่นก็คือ ความสำเร็จ
แล้วมีปัจจัยอะไรบ้างที่ช่วยให้คนประสบความสำเร็จ? หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญมาก ๆ ก็คือ บทเรียนหรือประสบการณ์ที่เราได้เรียนรู้ระหว่างทาง ระยะเวลากว่า 30 ปี ของ สตีฟ ซีโบลด์ ผู้เขียนหนังสือ “How Rich People Think” หรือ คนร่ำรวยเขาคิดกันอย่างไร? เขาได้สัมภาษณ์เศรษฐีนับพัน ๆ คน เพื่อค้นหาหนทางที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จและมั่งคั่งร่ำรวย สตีฟพบว่า มันไม่เกี่ยวเลยว่า เขาเกิดที่ไหน? หรือ เป็นลูกของใคร? สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สติปัญญาและวิธีคิด ต่างหากที่ช่วยพาพวกเขาไปยังจุดมุ่งหมาย และช่วยให้หลุดพ้นจากสิ่งที่คอยฉุดรั้งเอาไว้ได้ ซึ่งทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จและร่ำรวยในท้ายที่สุด
และต่อไปนี้ก็คือ “7 ประโยคที่คุณจะไม่มีวันได้ยินจากปากคนที่ประสบความสำเร็จ

1. ฉันเกลียดงานที่ฉันทำ

“ฉันเกลียดบริษัทนี้”“เจ้านายฉันงี่เง่า”
หนึ่งในคุณสมบัติอันพึงประสงค์ของผู้ที่จะประสบความสำเร็จก็คือ พวกเขาไม่ค่อยเรื่องมากเรื่องงานหรือที่ทำงานและไม่กังวลถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่บีบบังคับหรือตึงเครียดก็ตาม พวกเขาจะพยายามนำตัวเองออกจากสถานการณ์แย่ ๆ เหล่านั้น เพราะมันมีแต่จะคอยฉุดรั้งให้บรรลุเป้าหมายช้าลง โดยพวกเขาจะค่อย ๆ หาหนทางรับมือและหาวิธีแก้ปัญหาให้ตรงจุด แทนที่จะโทษว่าเป็นความผิดของงาน ของคน หรือแม้แต่ของบริษัท

2. มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

“รางวัลนี้ควรเป็นของฉันมากกว่า”
เคยไหมที่คู่แข็งของคุณกลับได้รับรางวัล ทั้ง ๆ ที่คุณมีประสิทธิภาพมากกว่าและทุ่มเทมากกว่าด้วยซ้ำ แต่กลับไม่ได้อะไรตอบแทนเลยสักนิด การพูดโวยวายอาละวาดถามหาความยุติธรรมในชีวิตคือสิ่งที่คนประสบความสำเร็จไม่ทำอย่างแน่นอน เพราะคุณต้องเคยชินกับความไม่ยุติธรรมเข้าไว้ ความสำเร็จคือ พรแสวงไม่ใช่พรสวรรค์ ดังนั้น คุณต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าคุณคู่ควรกับมัน คุณควรรู้จักควบคุมอารมณ์ให้ดี แทนที่จะโวยวายเรียกร้องหรือบ่นออกมา เพราะมันจะทำให้คุณดูแย่ไปมากกว่าเดิม หากคุณคิดว่าคุณสมควรจะได้รับรางวัลแห่งความสำเร็จนี้ ก็ต้องพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นสิ!

3. อยู่ที่นี่ก็ต้องทำแบบนี้

“เพราะมันเป็นแบบนี้มานานแล้ว”
นวัตกรรมหรือการพัฒนา คือคุณลักษณะที่สำคัญของคนประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะอยู่สถานการณ์ใด ๆ ก็ตาม คุณควรเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และไม่กลัวที่จะแหกกฎ เพราะไม่มีใครที่จะประสบความสำเร็จได้โดยที่ไม่รู้จักการลองทำสิ่งใหม่ ลองดูกรณีของ สตีฟ จอบส์ เป็นตัวอย่าง เขามีความหลงใหลทางด้านนวัตกรรมอย่างมาก ซึ่งความหลงไหลนั้นก็ได้ก่อเกิดผลิตภัณฑ์สุดล้ำที่สามารถเปลี่ยนโลกอย่างไอแพดและไอโฟนขึ้นมาได้
“นวัตกรรม คือสิ่งที่สามารถแยกระหว่างผู้นำและผู้ตามออกจากกัน” – สตีฟ จอบส์ (STEVE JOBS)
ดาร์ลีน ไพรซ์ ประธานและผู้ก่อตั้งบริษัท เวลล์ เซด (Well Said, Inc.) ได้ให้เคล็ดลับกับ Business Insider เกี่ยวกับการพัฒนาและการเปิดใจให้กับสิ่งใหม่ ๆ ในที่ทำงานว่า ถึงแม้คุณจะมีความเห็นต่างกับคนอื่น แทนที่จะคัดค้าน คุณควรพูดว่า “มันเป็นไอเดียที่น่าสนใจมากเลย…แล้วเราสามารถนำมันมาใช้แบบไหนได้บ้างล่ะ?” หรืออาจจะพูดว่า “เราลองมาคุยในส่วนของ ข้อดีหรือข้อเสียของมันดูไหม?” เพราะหากคุณอยากประสบความสำเร็จ คุณไม่ควรมีทิฐิหรือกลัวกับการได้ลองสิ่งใหม่ ๆ

4. มันไม่ใช่หน้าที่ของฉัน

“มันไม่ใช่เรื่องของฉัน”“ฉันไม่ได้ถูกจ้างมาให้แก้ไขเรื่องพวกนี้”
กฎเหล็กสำหรับคนประสบความสำเร็จก็คือ อย่ามัวแต่คิดถึงแต่ตัวเอง คุณควรช่วยเหลือผู้อื่นด้วย การทำงานเป็นทีมเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายได้ แม้ว่าอนาคตคุณจะร่ำรวยและประสบความสำเร็จไปแล้ว แต่คุณก็ควรตระหนักไว้ว่ายังมีเหล่าลูกน้องและพนักงานในบริษัทของคุณที่ล้วนแล้วแต่เป็นเบื้องหลังของความสำเร็จและชื่อเสียงของคุณด้วย
“ที่เราได้นั่งใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ในวันนี้ ก็เพราะมีคนเคยปลูกไว้เมื่อนานมาแล้ว” – วอร์เรน บัฟเฟตต์ (WARREN BUFFETT)

5. มันไม่มีทางเป็นไปได้ หรือ ฉันทำไม่ได้หรอก

คนที่ประสบความสำเร็จจะรู้ดีว่า ข้อจำกัดหรือลิมิตเป็นเพียงสิ่งที่ใจเราคิดและมโนมันขึ้นมา ซึ่งเราใช้มันมาเป็นข้ออ้างในการจำกัดความสามารถของตัวเอง พวกข้ออ้างต่าง ๆ ที่หลายคนชอบใช้กันยังไงล่ะ คนที่จะประสบความสำเร็จจะไม่มานั่งบ่นหรือกังวลต่อขีดจำกัดของตัวเอง ในทางกลับกัน พวกเขาจะหาวิธีที่จะช่วยให้เขาก้าวผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ไปให้ได้
พวกคำพูดในแง่ลบอย่างเช่น ทำไม่ได้ ไม่มีทางเกิดขึ้น หรือ เป็นไปไม่ได้ จะไม่มีทางหลุดออกมาจากปากของคนที่ประสบความสำเร็จ เพราะพวกเขารู้ดีว่าบ่นไปก็ไม่ได้ช่วยให้พวกเขาก้าวไปข้างหน้าได้เลยสักนิด แต่การลงมือจัดการสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่างหาก คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

6. รู้แบบนี้ (รู้งี้)

“ถ้ารู้แบบนี้…ฉันควรจะทำแบบนี้” หรือ “ฉันน่าจะทำแบบนั้น”
ความรู้สึกเสียดายและอยากกลับไปแก้ไขในสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วนั้น คือสิ่งที่แย่ที่สุดที่คนประสบความสำเร็จอาจเคยจะเจอะเจอมา ไม่ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไรก็ตาม คนที่ประสบความสำเร็จจะไม่เสียเวลากับการมานั่งเสียดายเหตุการณ์ในอดีตนี้อีก แต่เขาจะจดจ่อกับโอกาสใหม่ ๆ ที่รอพวกเขาอยู่ข้างหน้า เพราะถือว่าเขาได้คว้าโอกาสและทำมันเต็มที่แล้ว ดังนั้นการรู้สึกเสียดายไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย

7. ฉันไม่มีทางเลือก หรือ ฉันทำได้แค่นี้

หนทางและโอกาสมากมายมักจะเข้ามาหาคนที่เฝ้ามองหามัน ไพร์ซกล่าวว่า “การที่เราพูดว่าเราไม่มีทางเลือก มันก็เท่ากับว่า เรายอมก้มหัวให้กับสิ่งรอบข้าง ทั้ง ๆ ที่เราล้วนมีอำนาจลิขิตชีวิตของเราเอง”