27 กุมภาพันธ์ 2560

9 สิ่งที่ “คนมีความหลงใหล” มักทำแตกต่างจากคนทั่วไป


คุณเคยมี ความหลงใหล (Passion) กับอะไรบ้าง? ความหลงใหลไม่ใช่แค่เพียงสิ่งที่คุณทำอยู่หรอกนะ แต่มันคือตัวตนที่แท้จริงของคุณเอง เพราะมันทำให้คุณกระตือรือล้น รีบตื่นนอนขึ้นมาในตอนเช้า และพร้อมที่จะเริ่มต้นวันใหม่กับมัน
ดร. โรเบิร์ต วัลเลอแรนด์ จากมหาวิทยาลัย Quebec เป็นผู้ที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องความหลงใหล เขายืนยันว่า ความหลงใหลเป็นสิ่งนิยามตัวตนของคนๆ นั้นได้ “ความหลงใหลคือการที่คนๆ หนึ่งรักในสิ่งที่เขาทำ สิ่งที่พวกเขาคิดว่าสำคัญ และอุทิศทั้งเวลา แรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับมัน”
“ความหลงใหลนำมาซึ่งอัจฉริยภาพ” – กาลิเลโอ (Galileo)
ดร.วัลเลอแรนด์และทีมวิจัยอีกสองคนได้วิจัยผลการศึกษาจากนักดนตรีจำนวน 187 คน พบว่า คนที่มุ่งมั่นฝึกฝนเพื่อให้การแสดงของตนสมบูรณ์แบบ หรือที่เขาเรียกว่า “ความชำนาญ” จะสามารถพัฒนาทักษะของตนได้มากกว่าคนที่มุ่งมั่นเพียงเพื่อจะเก่งกว่านัก ดนตรีคนอื่นๆ ดังนั้น หากคุณมีความหลงใหลในสิ่งใดแล้ว คุณจงมุ่งมั่นเพื่อพัฒนาตัวเอง ไม่ใช่แข่งขันกับคนอื่น
แล้วสงสัยกันไหมว่าความหลงใหลที่ว่านี้มันมีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่? วิธีที่ดีในการทำความเข้าใจมันก็คือ การเรียนรู้ว่าผู้คนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหลงใหลนั้นมักทำอะไรที่แตกต่าง จากคนทั่วไปบ้าง ถ้าอยากรู้แล้วล่ะก็ เราไปชมกันเลย!

1. พวกเขาหมกมุ่น

พวกเขาจะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง ไม่ใช่ในแบบโรคย้ำคิดย้ำทำ(OCD) แต่เป็นความหมกมุ่นในเชิงบวก เป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า “จงทำในสิ่งที่คุณรัก  แล้วคุณจะไม่รู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องเหนื่อยกับการทำงานอีกเลย”
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พวกเขาจะวนเวียนคิดถึงสิ่งที่ตนเองหลงใหลอยู่เสมอ ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกกดดันหรือหนักใจ แต่เป็นความตื่นเต้นต่างหาก เพราะการหมกมุ่นสามารถสร้างแรงบันดาลใจและทำให้พวกเขามีความสุขได้

2. พวกเขาไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์

คุณไม่มีทางได้พบคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหลงใหลมาเดินเตร็ดเตร่เล่นโป เกมอนโกข้างถนนหรอก เพราะพวกเขาไม่มีเวลาพอที่จะทำอะไรไร้สาระหรือฆ่าเวลาอย่างแน่นอน พวกเขาแทบจะทุ่มเทเวลาทุกนาทีไปกับสิ่งที่หลงใหล และมันก็คงไม่มีอะไรที่เขาจะอยากทำไปกว่านี้อีกแล้ว

3. พวกเขามองโลกในแง่ดี

ผู้คนเหล่านี้จะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เป็นไปได้มากกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ พวกเขาไล่ตามเป้าหมายใหม่ๆ ของตัวเองอยู่เสมอ ด้วยความเชื่อมั่นว่าจะต้องทำให้สำเร็จได้อย่างแน่นอน คุณคงจะจำความรู้สึกเวลากำลังเฝ้ารอสิ่งที่สำคัญมากๆ ได้ใช่ไหม? นั่นแหละคือสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้กำลังรู้สึกอยู่ทุกๆ วัน

4. พวกเขาเป็นคนตื่นแต่เช้า

ผู้คนที่เต็มเปี่ยมด้วยความหลงใหลจะกระตือรือร้นเกินกว่าจะเสียเวลาไปกับ การนอนหลับ ไม่ได้แปลว่าพวกเขาไม่ชอบการนอนนะ แต่พวกเขาเพียงแค่อยากลุกไปทำสิ่งที่ตัวเองรักมากกว่า เพราะมันเต็มไปด้วยความคิดและความตื่นเต้นที่กำลังรออยู่ตรงหน้ายังไงล่ะ

5. พวกเขากล้าที่จะเสี่ยงในเรื่องสำคัญ

หากอยากรู้ว่าตัวเองต้องการบางสิ่งบางอย่างมากขนาดไหนนั้น ให้ดูจากการที่คุณเต็มใจจะเสี่ยงมากแค่ไหนนั่นเอง ไม่มีใครยอมทุ่มเทให้หมดหน้าตักเพื่อให้ได้สิ่งที่สนใจแค่ครึ่งๆ กลางๆ หรอก สำหรับผู้คนที่เต็มไปด้วยความหลงใหล พวกเขาย่อมเต็มใจเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงก็ตาม

6. พวกเขามักทำอะไรให้มันสุดๆ

พวกเขาไม่ทำอะไรแบบครึ่งๆ กลางๆ ถ้าจะทำอะไรจะต้องไปให้สุดจนกว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็พุ่งชนให้ล้มกันไปข้าง หนึ่ง และถ้าเป็นเวลาพักผ่อน พวกเขาก็จะอยู่เฉยๆ ผ่อนคลายให้สุดๆ เช่นกัน

7. พวกเขามักพูดคุยในเรื่องที่ตนเองหลงใหลอยู่ตลอดเวลา

ผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถแยกตัวเองออกจากสิ่งที่หลงใหลได้ พวกเขามักจะคลุกคลีอยู่กับเรื่องความชอบของตัวเองอยู่ตลอดเวลา และมักจะพูดในสิ่งที่หลงใหลอยู่เป็นประจำ ถึงแม้ว่าคนอื่นอาจจะไม่สนใจด้วยก็ตาม

8. พวกเขาตื่นเต้นง่าย

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยรู้สึกเฉยๆ หรืออยู่นิ่งๆ บ้างหรอกนะ เพียงแค่พวกเขาตื่นเต้นได้แม้กับเรื่องเล็กๆ ในสิ่งที่พวกเขาสนใจ เพราะงั้นก็เลยตื่นเต้นได้บ่อยและนานกว่าคนอื่นๆ มีทฤษฎีหนึ่ง อธิบายว่าคนประเภทนี้มักทุ่มเทพลังทั้งหมดให้กับหนึ่งหรือสองสิ่งเพียงแค่ เท่านั้น จึงมีแรงผลักดันให้พวกเขาก้าวหน้าและมีความตื่นเต้นพลุ่งพล่านในตัวมากกว่า คนอื่น

9. งานคือทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขา

ผู้คนที่หลงใหลในงานของตน ไม่เคยกังวลเรื่องสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน เพราะงานก็คือตัวตนของพวกเขา และไม่อาจแยกออกจากกันได้ หายใจเข้าออกก็เป็นงานที่พวกเขารัก ดังนั้นจึงไม่มีการทิ้งงานค้างเอาไว้เด็ดขาด เพราะการทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่าปฏิเสธตัวตนของตัวเองเลยทีเดียว แล้วการใช้ชีวิตแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่โอเคสำหรับพวกเขาด้วยนะ เพราะไม่มีอะไรที่อยากทำนอกจากงานเหล่านี้ที่พวกเขารักแล้วจริงๆ

ตอนนี้เราก็ได้รู้แล้วว่าอะไรที่ทำให้ผู้คนที่มีความหลงใหลนั้นแตกต่างจากคนอื่น แล้วคุณล่ะ!? คิดว่าในชีวิตตัวเองมีความหลงใหลกับสิ่งที่ทำมากพอแล้วหรือยัง?

Source : talentsmart

24 กุมภาพันธ์ 2560

6 ขั้นตอนที่ช่วยให้คุณ “รู้จักและเข้าใจตัวเอง”

“การรู้จักตนเองเป็นจุดเริ่มต้นแห่งปัญญา” อริสโตเติล (Aristotle)
การรู้จักตนเองที่เป็นตัวคุณเองจริงๆ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะเมื่อคุณรู้ว่าตนเองเป็นใคร คุณจะรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรเพื่อสิ่งที่คุณต้องการโดยที่ไม่ต้องรอให้ใคร มาบอก นอกจากนี้คุณจะไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับเรื่องที่ทำให้คุณเสียเวลา จริงอยู่ที่ชีวิตคนเรานั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและข้อผิดพลาด แต่ข้อดีคือมันช่วยให้คุณรู้จักตัวเองมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้คุณเป็นคนที่มั่นใจมากขึ้นรวมถึงเข้าใจเป้าหมายในชีวิตตนเองมาก ขึ้นตามไปด้วย สิ่งเหล่านี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงเลยก็ว่าได้
หากคุณเกิดคำถามว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้รู้จักตนเอง รวมไปถึงสิ่งที่ควรจะทำในชีวิตให้มากขึ้น คำตอบของคำถามข้างต้นได้ถูกเปิดเผยไว้ใน 6 ขั้นตอนของการรู้จักตนเองอย่างแท้จริงต่อไปนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 1เงียบเมื่อถึงเวลา

เหตุที่ผู้คนจำนวนมากไม่รู้จักตนเองเพราะความคิดพวกเขาไม่เคยเงียบ ความเงียบทำให้พวกเขารู้สึกไม่ปลอดภัย กล่าวคือ การต้องอยู่ในที่เงียบๆทำพวกเขาให้รู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่กับข้อบกพร่องของ ตัวเองเพียงลำพัง แต่เหรียญย่อมมีสองด้าน เพราะในขณะเดียวกันการได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ทำให้คุณมองเห็นอะไรได้ชัดขึ้น คุณจะได้เห็นตัวคุณในอีกแง่มุมที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งส่วนที่ดีและแย่ ซึ่งคุณจะไม่มีทางได้รู้จักได้เลยหากคุณไม่รู้จักเงียบ ซึ่งมันเป็นความคิดที่ดี หากคุณจะลองใช้ความเงียบเป็นตัวช่วยให้ร่างกายและจิตใจของคุณได้มีเวลาสำรวจ ถึงตัวตนที่แท้จริงของคุณ
“จุดเริ่มต้นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเกิดจากการค้นหาตนเอง” Chalmers Brothers

2เข้าใจสิ่งที่ตนเป็นอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่อยากเป็น

เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าทุกคนมีความฝันถึงสิ่งที่อยากเป็น แต่คุณต้องเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นมันอาจไม่ใช่ที่สิ่งที่เหมาะกับคุณก็ได้ ดังนั้นการรู้ว่าตัวคุณจริงๆนั้น แท้จริงแล้วคือใครกันแน่ เพราะเมื่อคุณรู้จักตัวเองที่เป็นตัวตนของคุณจริงๆ ท้ายที่สุดแล้ว คุณจะเห็นว่าตัวคุณอยู่จุดไหน แล้วสิ่งที่เหมาะกับตัวคุณจริงๆนั้นอยู่ตรงไหน
แม้จะมีตัวช่วยมากมายที่ช่วยให้คุณค้นพบตัวเองได้ง่ายขึ้น แต่การได้ลองทำแบบทดสอบบุคลิคภาพรวมไปถึงแบบทดสอบเจาะจุดแข็ง อย่างเช่นลองทำแบบทดสอบของเว็บไซต์นี้ 16Personalities.com ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี และคุณควรทำแบบทดสอบพวกนี้อีกครั้งหลังจากนี้อีก 5 ปี แบบประเมินตนเองพวกนี้แม้จะไม่ใช่แบบทดสอบที่ดีที่สุด แต่มันช่วยให้คุณเห็นว่าอะไรคือจุดเด่นในตัวคุณและช่วยให้คุณได้มีเวลาพัฒนา สิ่งเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่

3หาสิ่งที่คุณถนัดและไม่ถนัดให้พบ

แม้ขั้นตอนนี้จะดูเหมือนเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด แต่มันถือเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญของการรู้จักตนเองให้มากขึ้น แน่นอนว่าก่อนที่คุณจะรู้ว่าตัวเองเก่งด้านไหน คุณย่อมต้องเจอกับอุปสรรคและผ่านความผิดพลาดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งคุณไม่ควรยอมแพ้จนกว่าจะได้พยายามอย่างเต็มที่ และหากพยายามอย่างเต็มที่แล้วแต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จเสียที การล้มเลิกก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
จงล้มเลิกเมื่อใดก็ตามที่คุณเห็นว่าความพยายามครั้งนี้เป็นเรื่องเสีย เวลาเปล่า เพราะแม้คุณจะพยายามเท่าไหร่คุณก็ไม่ได้รับอะไรเป็นรางวัลของความพยายาม และเมื่อสิ่งที่คุณพยายามแทนที่จะทำให้คุณมีความสุข ตรงกันข้ามกลับทำให้คุณเหนื่อย สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วที่คุณควรเลิกพยายาม คุณอาจสงสัยว่าแล้วเมื่อไหร่กันถึงเรียกว่าเสียเวลาเปล่า มีแต่ตัวคุณเท่านั้นที่จะให้คำตอบได้ การทำเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าคุณยอมแพ้ แต่หมายถึงคุณรู้จักคุณค่าของตัวเองแล้วต่างหาก เพราะคุณจะไม่ยอมเสียเวลาไปกับเรื่องเปล่าประโยชน์เป็นแน่ และอย่าลืมว่าสิ่งที่คุณถนัดสามารถบ่งบอกความเป็นตัวคุณได้

4หาให้เจอว่าอะไรที่คุณทำแล้วมีความสุข

บางครั้งการทำตามความชอบก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพียงแต่คุณต้องใส่ใจให้มากขึ้น เมื่อคุณหาเจอว่าอะไรที่ทำให้คุณหลงใหล เพราะมันช่วยให้คุณเห็นภาพในชีวิตชัดขึ้นว่าสิ่งไหนหรือเรื่องอะไรที่คุณควร ให้ความสำคัญ หากพูดถึงการได้ทำตามความชอบในการทำงาน แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมาก และการนำความชอบมาเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตด้วยก็ถือเป็นความคิดที่ยอด เยี่ยมมากอีกเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่คุณควรทำคือให้ความสำคัญกับความชอบของตนเองให้มากขึ้นกว่า เดิม เพราะมันเป็นอีกหนทางที่จะช่วยให้คุณรู้จักตนเองมากขึ้น และจำไว้ว่าการได้ทำในสิ่งที่เราชอบ จะช่วยทำให้เราพยายามมากขึ้น และความพยายามนี้เองที่ก่อให้เกิดความสำเร็จในชีวิต

5ไถ่ถามหาคำติชม

หากคุณไม่รู้จักตัวเอง การได้เห็นว่าคนอื่นคิดยังไงกับคุณก็ถือเป็นอีกตัวช่วยหนึ่ง คุณอาจเริ่มด้วยการถามคำถามง่ายๆกับพวกเขา เช่น “คุณคิดว่าฉันมีข้อดีอะไรบ้างที่ควรพัฒนา” หรือ “คุณคิดว่าฉันมีข้อเสียอะไรบ้างที่ต้องได้รับการปรับปรุง” แน่นอนว่าความคิดของพวกเขาอาจไม่ดีพร้อมไปเสียทีเดียว แต่อย่างน้อยคำติชมของพวกเขาก็ช่วยให้คุณเห็นช่องโหว่ของตัวเองได้ง่ายขึ้น ขั้นตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นขั้นตอนที่จำเป็นมากสำหรับคนที่ค้นหาตนเองไม่พบ เพราะบางครั้งคนที่ใกล้ชิดเราที่สุดก็อาจเป็นคนเดียวกับคนที่เห็นในสิ่งที่ แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่อาจมองเห็นได้

6เห็นคุณค่าของความสัมพันธ์

ความสัมพันธ์เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยบ่งบอกตัวตนที่แท้จริงของคุณได้ คุณจะเห็นคุณค่าของการรู้จักตนเองก็ต่อเมื่อคุณตระหนักได้ว่าแม้แต่ตัวของ คุณเองก็ยังไม่แน่ใจว่าตนเองเป็นใครหรือต้องการอะไรกันแน่ แล้วเช่นนี้คุณจะรู้จักคนอื่นได้อย่างไร ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเรื่องที่เห็นได้เด่นชัดมากสำหรับผู้นำในแวดวง ธุรกิจ กล่าวคือ ความเป็นผู้นำของพวกเขาจะหายไปทันทีหากพวกเขาไม่รู้จักลูกทีมของตนเอง อันที่จริงข้อเท็จจริงดังกล่าวนอกจากจะใช้ได้กับแวดวงธุรกิจแล้วยังสามารถนำ มาปรับใช้กับความสัมพันธ์ในชีวิตคุณได้ด้วย เพราะยิ่งคุณต้องการรู้จักตัวตนของคนอื่นมากเท่าไหร่ ในทางกลับกันคนอื่นก็ต้องการที่จะรู้จักตัวตนของคุณจริงๆ มากขึ้นเท่านั้น
จงใช้สิ่งที่คุณค้นพบเป็นอาวุธเพื่อสู้กับความกลัว เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณเข้าใจตนเอง เข้าใจในสิ่งที่คุณอยากจะเป็น เมื่อนั้นเป้าหมายของคุณจะใหญ่จนไม่เหลือพื้นที่ให้ความกลัวอีก นอกจากนี้คุณจะไม่หลงทางอย่างแน่นอน เพราะการเข้าใจตนเองช่วยให้คุณเป็นตัวคุณในแบบที่ดีขึ้นกว่าเมื่อวันก่อน และท้ายที่สุดการรู้จักตนเองหมายถึงการได้พบความสงบ พบทางลัดไปสู่ความสำเร็จที่คุณไม่เคยได้เห็นมากก่อน
จงเริ่มเสียตั้งแต่วันนี้ก่อนที่มันจะสายเกินไป!

Source: success

9 เคล็ดลับ พูดอย่างไรให้ดีและมีประสิทธิภาพ

ในบางครั้งเวลาที่คุณมีไอเดียเจ๋งๆ แล่นเข้ามาในหัว คุณก็ต้องการที่จะแชร์ไอเดียนี้กับเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้า แต่ทว่า คุณไม่รู้วิธีสื่อสารเพื่อให้คนอื่นหันมาสนใจและเข้าใจคุณได้
เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคุณไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล และคุณก็ไม่สามารถบังคับใครให้มาสนใจคุณได้ แต่…สิ่งที่คุณสามารถบังคับได้อย่างแน่นอนก็คือ ตัวของคุณเอง และเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจที่สุด คุณจึงต้อง คิดก่อนพูด
โดยมีงานวิจัยหนึ่งที่จะช่วยทำใหัคุณเห็นภาพชัดขึ้นว่า คำพูดนั้นมีอิทธิพลมากขนาดไหน? นักวิจัยได้ทำการศึกษาผู้เข้าร่วมการทดลองกว่า 300 คนโดยการให้พวกเขาทำการประเมินนิสัย อีกทั้งพวกเขายังต้องจัดอันดับลักษณะนิสัยด้วย อย่างเช่น ความน่าเชื่อถือ ความเป็นผู้นำ เสน่ห์ ผ่านทางคำพูดง่ายๆอย่าง “สวัสดีครับ/ค่ะ” ผลการทดลองก็คือ ร้อยละ 92 เห็นว่าแต่ละเสียงล้วนมีลักษณะนิสัยเฉพาะตัวแฝงอยู่ หมายความว่าผู้คนตัดสินคุณผ่านทางเสียงที่คุณเปล่งออกมาด้วยยังไงล่ะ
ข่าวดีก็คือคุณยังสามารถทำอะไรกับเสียงได้นิดหน่อยเพื่อให้การพูดเกิด ประสิทธิภาพสูงสุด และต่อไปนี้ก็คือ 9 เคล็ดลับที่บอกได้เลยว่าถ้าคุณทำตามได้ จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคุณในบทสนทนาเพิ่มขึ้นอย่างเหลือเชื่อ

1. พูดเสียงทุ้มเข้าไว้

เสียงทุ้ม เป็นเสียงที่ฟังดูน่าเชื่อถือและภูมิฐาน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยหลายๆชิ้นที่ชี้ว่าคนที่มีความเป็นผู้นำ ความจำดีและหาเงินเก่ง มักมีโทนเสียงทุ้ม
แต่หากคุณไม่ใช่คนที่เสียงทุ้ม ขอให้คุณพึงระวังไว้ เพราะจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยดุ๊กพบว่า หญิงผู้พยายามดัดเสียงให้ต่ำกว่าโทนเสียงปกติหรือที่เรียกว่า Vocal Fry มักถูกมองว่าเป็นพวกด้อยความสามารถและไม่ค่อยน่าเชื่อถือ

2. ระวังความคิดไว้ให้ดี

ดร.เอลิซาเบธ ลอมบาโด ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยา เธอกล่าวว่า เมื่อตอนที่เธอได้ร่วมงานกับเลขาคนเก่า เธอรู้สึกได้เลยว่าเขาไม่ค่อยพอใจเธอนัก แม้มันจะเป็นวันแรกที่ได้ร่วมงานกัน แต่น้ำเสียงของเขามันบ่งบอกได้ชัดโดยที่ไม่ต้องปริปากพูดคำว่าไม่พอใจออกมา เลยด้วยซ้ำไป
หากไม่อยากให้ปัญหานี้เกิดกับคุณล่ะก็ มีสิ่งหนึ่งที่ ดร.เอลิซาเบธ อยากแนะนำให้กับคุณคือ ขอให้คุณระวังความคิดคุณไว้ให้มากๆ อย่าให้มันทำให้คุณเสียเรื่องได้ พยายามมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ เพราะแน่นอนว่าความคิดเชิงบวกจากภายในย่อมแสดงออกมาภายนอกเป็นพฤติกรรมเชิง บวกเช่นกัน

3. รอยยิ้ม สิ่งเล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่

อันที่จริง การยิ้มมีความสำคัญมากต่อการพูดอย่างมีประสิทธิภาพ เหตุผลคือ เวลาคุณยิ้มมันทำให้คุณมีความสุขโดยที่คุณก็ไม่รู้ตัวเช่นกัน ซึ่งพอคุณมีความสุขแล้ว คุณก็ย่อมเปล่งเสียงออกไปอย่างมีความสุข และนี่แหละคือหนึ่งในเคล็ดลับสำคัญ เพราะคนเรามักสบายใจที่จะอยู่กับคนที่มีความสุข ประโยชน์ของการยิ้มยังไม่หมดเท่านี้ เพราะรูปปากของคุณเวลายิ้มยังส่งผลโดยตรงต่อการเปล่งเสียงให้ออกมาเป็น ธรรมชาติ ลื่นหูและมีความเป็นมิตรด้วย

4. เลี่ยงการพูดโทนเสียงเดียว

รู้หรือไม่ว่าการพูดโทนเสียงเดียวนั้นกำลังบ่งบอกอะไรเกี่ยวกับตัวคุณ? ใช่แล้ว มันบอกว่าคุณกำลังรู้สึกเบื่อ หรือจะพูดว่าคุณเป็นคนน่าเบื่อก็ไม่ผิด ซึ่งทำให้ผู้ฟังรู้สึกเบื่อตามไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ คุณจะไม่มีทางพูดให้ประสบความสำเร็จได้เลย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว คุณควรใช้โทนเสียงสูงและต่ำสลับกันไปเพราะจะทำให้ผู้ฟังเกิดความสนใจและ รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนายังไงล่ะ

5. พูดให้ไวก็ไม่เสียหาย

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ติดนิสัยการพูดช้าๆ ขอให้คุณระวังไว้ เพราะคนส่วนใหญ่มักมองว่าการพูดช้าๆบ่งบอกว่าคุณเป็นคนไม่น่าไว้ใจ น่าเบื่อ และด้อยความสามารถ ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับคนที่พูดเร็วที่คนส่วนใหญ่จะมองเป็นคนกระฉับ กระเฉง ฉลาด และพึ่งพาได้
การพูดให้เร็วในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าให้คุณพูดเร็วจนลิ้นพันกัน เพียงแต่ให้คุณเร่งจังหวะการพูดให้เร็วขึ้นในส่วนที่คุณรู้สึกหรืออยากให้ ผู้ฟังรู้สึกสนใจ แต่คุณก็ต้องมั่นใจด้วยว่าผู้ฟังยังคงเข้าใจในสิ่งที่คุณพูด

6. เว้นจังหวะบ้าง

อาจฟังดูขัดกับคำแนะนำข้อที่ผ่านมา แต่การเว้นจังหวะระหว่างที่พูดบ้าง จะช่วยคุณประสบความสำเร็จในการสื่อสารอย่างมาก เช่น เวลาที่คุณต้องออกไปนำเสนอรายงานหน้าที่ประชุม หลังจากแนะนำตัวเองเรียบร้อยแล้ว ขอให้คุณลองเว้นจังหวะสักครู่ เพราะอะไรน่ะหรือ? คำตอบคือมันจะช่วยให้ผู้ร่วมประชุมของคุณรู้สึกว่าเรื่องที่คุณกำลังจะกล่าว ต่อไปนั้นเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากนี้การเว้นช่วงก่อนจะพูดในแต่ละครั้งยังช่วยให้คุณมีเวลาคิดเรื่องที่ จะพูดซึ่งแน่นอนว่าดีกว่าการพูดว่า “เอิ่ม” หรือ “เอ่อ” เพราะมันทำให้คุณดูไม่เป็นผู้พูดที่ดีเอาซะเลย

7. สำเนียง เรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

งานวิจัยเผยว่า คนเรามักระแวงคนที่พูดสำเนียงต่างจากเรา เมื่อรู้เช่นนี้แล้วคุณอาจกำลังอยากเปลี่ยนสำเนียงการพูดของคุณ แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ทันทีดั่งใจนึก แต่การพยายามฝึกฝนจะช่วยคุณได้อย่างแน่นอน

8. หายใจให้เป็นจังหวะ

การหายใจเร็วและถี่เกินไปจะส่งผลโดยตรงให้เส้นเสียงตึงขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้น้ำเสียงของคุณฟังดูไม่เป็นมิตรแล้วยังจะทำให้คุณ เป็นคนพูดเสียงดังโดยไม่จำเป็นอีกด้วย ในทางกลับกัน การหายใจที่ช้าและลึกจะช่วยผ่อนคลายความเครียดให้กับคุณ อีกทั้งยังไม่ทำให้เส้นเสียงคุณตึงเหมือนกับการหายใจที่เร็วและถี่ ซึ่งแน่นอนว่าการหายใจเช่นนี้จะทำน้ำเสียงที่คุณเปล่งออกมาฟังดูเป็นมิตรโดย ที่คุณเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

9. พูดจาฉะฉาน

อาจจะฟังดูเหลือเชื่อ เพราะเพียงแค่คุณเน้นในส่วนสำคัญของประโยคที่คุณเปล่งออกมา ก็ทำให้คุณเป็นคนที่พูดจาฉะฉานได้อย่างง่ายดาย ซึ่งต่างจากการพยายามเปลี่ยนโทนเสียงสูงระหว่างการพูด (เริ่มจากพูดด้วยโทนเสียงต่ำแล้วสูงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนการถามคำถาม) ที่จะถูกมองว่าเป็นคนโลเลไม่น่าเชื่อถือ
ในทางกลับกันการเปลี่ยนโทนเสียงให้ต่ำระหว่างการพูดนั้น (เริ่มจากพูดด้วยเสียงสูง แล้วค่อยๆต่ำลง) บ่งบอกถึงความน่าเชื่อถือและความมั่นใจในตัวคุณได้

Source : Success

7 เคล็ดลับสร้าง “ทัศคติที่ดี” ให้กับตัวเอง




มหัศจรรย์ของพลังแห่งการคิดบวก เป็นคำที่เรามักจะได้ยินกันบ่อยๆ จนบางครั้งอาจจะฟังดูเฉยๆ และจำเจ แต่มีผลวิจัยออกมามากมายที่ช่วยยืนยันว่าการคิดบวกส่งผลดีต่อสุขภาพกายและ จิตใจ ซึ่งพบว่าการคิดบวกจะช่วยสร้างความมั่นใจในตัวคุณให้มากขึ้น ทำให้อารมณ์ดีขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเครียด ซึมเศร้า หรือโรคที่เกิดจากความเครียดได้
บางคนบอกว่า พลังแห่งการคิดบวกก็คือการที่เราคิดแต่เรื่องดีๆ การใช้คำพูดด้านบวกกับตัวเอง หรือแม้กระทั่งการมอโลกในแง่ดี แต่สิ่งเหล่านี้ยังอาจทำให้คุณมองไม่เห็นภาพมากนัก และนี่ก็คือเคล็ดลับทั้ง 7 ข้อ ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจพลังแห่งการคิดบวกได้มากขึ้น

1. เริ่มต้นวันใหม่ด้วยความมั่นใจ

คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าวันนี้คุณจะอารมณ์ดีตลอดทั้งวัน เคยไหม พอคุณตื่นสาย คุณเริ่มรู้สึกกังวล และมีความรู้สึกว่าวันนี้จะเกิดแต่เรื่องแย่ๆ สาเหตุมาจากการที่คุณตื่นขึ้นมาพร้อมกับจิตใจที่ไม่สดใส เพราะในหัวคุณเต็มไปด้วยความคิดทางลบ พาลทำให้วันนั้นทั้งวันของคุณกลายเป็นวันแย่ๆ ดังนั้นไม่ควรปล่อยให้ความรู้สึกแย่ๆเหล่านี้มากระทบต่อชีวิตของคุณ คุณควรเริ่มวันใหม่ด้วยจิตใจที่แจ่มใสและมั่นใจ อาจจะเริ่มจากการพูดคุยกับตัวเองในกระจก เช่น วันนี้จะต้องมีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้น หรือ วันนี้คือวันที่ยอดเยี่ยมของฉัน อาจจะฟังดูตลกเพ้อเจ้อไปบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว คุณจะรู้สึกทึ่งกับผลลัพธ์ที่ตามมา

2. โฟกัสแต่เรื่องดีๆ รวมถึงเรื่องเล็กๆ

แน่นอนล่ะ คุณต้องพบเจออุปสรรคบ้างในแต่ละวัน เพราะไม่มีอะไรที่เพอร์เฟคไปหมดหรอก เมื่อคุณเจออุปสรรคทั้งเล็กและใหญ่ แทนที่จะเครียดหรือกังวล ลองเปลี่ยนจุดโฟกัสไปที่ด้านดีๆ ของมันดู เช่น เวลารถติดมากๆ ก็ให้คิดซะว่าคุณมีเวลาฟังวิทยุคลื่นโปรดของคุณนานขึ้น หรือถึงแม้อาหารที่คุณชอบกินดันหมด ก็คิดว่าคุณจะได้มีโอกาสลองชิมอาหารแนวใหม่ๆ ที่คุณไม่เคยกินดูบ้าง

3. ในเรื่องร้ายๆ ก็ยังมีเรื่องดีๆแฝงอยู่เสมอ


การพบเจอเรื่องร้ายๆ ก็ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องไม่ดีเสมอไป เพราะเมื่อเวลาผ่านไปเหตุการณ์ร้ายๆ เหล่านี้อาจกลายเป็นเรื่องเล็กๆ สำหรับคุณไปเลยก็ได้ ให้คุณลองคิดว่าสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่เจอนั้นอาจเป็นเรื่องที่ดีที่คุณจะได้พบเจอทำสิ่งใหม่ๆหรือโอกาสใหม่ๆ เข้ามาแทนที่

4. เรียนรู้จากข้อผิดพลาด

ไม่แปลกที่คุณจะผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับหลายๆเรื่อง ทั้งกับเรื่องงานและเรื่องอื่นๆ เพราะคุณไม่ใช่คนที่เพอร์เฟคสมบูรณ์แบบ จงมองข้ามความผิดพลาดในอดีตเหล่านั้นแล้วนำมาเป็นบทเรียน พร้อมทั้งโฟกัสกับสิ่งที่คุณต้องทำ มันจะช่วยให้คุณหาทางออกจากปัญหาเหล่านี้ได้

5. เปลี่ยนจากการดูถูกตนเอง เป็น การให้กำลังใจตัวเอง

การที่คุณพูดดูถูกตัวเองบ่อยๆ เช่น ฉันไม่เก่งเรื่องเหล่านี้เลย หรือ ฉันไม่น่าลองมันเลย บางครั้งคำพูดแย่ๆเหล่านี้อาจลุลุกลามกลายเป็นนิสัยประจำตัวคุณก็ได้ และคำพูดดูถูกแย่ๆ เหล่านี้จะเป็นกำแพงที่กั้นไม่ให้เราพัฒนาไปข้างหน้า ดังนั้น จงหยุดดูถูกตัวเองแล้วหันมาพูดให้กำลังใจตัวเองดีกว่า เช่น ขอเวลากลับไปฝึกฝนใหม่…ครั้งหน้าฉันต้องทำได้แน่นอน หรือ ครั้งนี้ฉันอาจจะผิดหวัง…แต่ครั้งหน้าต้องสำเร็จให้ได้

6. อยู่กับปัจจุบัน

คำว่าอยู่กับปัจจุบัน ไม่ได้หมายความว่า ให้โฟกัสแค่วันนี้ หรือ ชั่วโมงนี้ แต่หมายถึง อยู่กับช่วงเวลาปัจจุบันนี้ต่างหาก ความคิดด้านลบมักจะเกิดจากอดีตที่เลวร้าย เกิดจากการที่คุณคิดมาก หรือกังวลเรื่องอนาคตมากเกินไป เช่น หากคุณถูกผู้อื่นตำหนิ ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะถูกตำหนิตลอดไปหรอกนะ จงลืมคำพูดแย่ๆ ที่พึ่งผ่านมานั้นเสียเถอะ แล้วไม่ต้องคิดถึงคำพูดแย่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย ให้โฟกัสแล้วแก้ปัญหาช่วงเวลานี้ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด แล้วคุณก็จะรู้ว่ามันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คุณคิดเลย

7. รายล้อมตนเองด้วย คนคิดบวก

เมื่อรอบตัวคุณห้อมล้อมไปด้วยคนที่มีทัศนคติที่ดี คุณจะสัมผัสได้ถึงพลังงานด้านบวก เช่น บุคลิกภาพที่ดี เรื่องราวดีๆ และความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมจากคนเหล่านี้ คุณจะค่อยๆ ซึมซับพลังงานด้านบวกเหล่านี้เข้าไป และส่งผลให้ความคิดและคำพูดของคุณเปลี่ยนไป ถึงแม้การหาคนที่มีทัศนคติที่ดีอาจจะเป็นเรื่องยากเอาสักหน่อย แต่อย่างไรก็ตามคุณก็ไม่ควรปล่อยให้ความคิดแย่ๆครอบงำคุณได้ ดังนั้น จงสลัดความคิดแย่ๆออกไป และเปิดโอกาสให้คนอื่นได้สัมผัสพลังงานด้านบวกของคุณสิ แล้วคุณก็จะสัมผัสได้ถึงพลังงานด้านบวกจากพวกเขาด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์ใดของชีวิตก็ตาม คุณก็สามารถนำเคล็ดลับทั้ง 7 ข้อนี้ไปใช้ได้เสมอ เพราะยิ่งคุณคิดบวกมากเท่าไหร่ คุณก็จะได้สิ่งดีๆกลับมาเท่านั้น

Source: success

14 กุมภาพันธ์ 2560

9 อุปนิสัยที่มัก “ขัดขวาง” ไม่ให้คุณประสบความสำเร็จ



ความสำเร็จไม่ได้มาจากสิ่งที่เรามี แต่มาจากสิ่งที่เราเป็น
เราต่างรู้ดีว่าการจะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องอาศัยความอดทนและความพยายามเป็นอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงยังมีอีกปัจจัยที่คุณไม่ควรมองข้ามเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จอย่างที่คุณใฝ่ฝันไว้ และปัจจัยนั้นก็คือ การมีสุขภาพจิตและภาวะทางอารมณ์ที่ดี
เพื่อให้มีสุขภาพจิตที่ดี คุณต้องยอมสละเวลาสักนิดแล้วพิจารณาการใช้ชีวิตของคุณว่า อะไรในชีวิตที่คุณควรมอบคุณค่าและเวลาให้และอะไรที่คุณควรปล่อยวาง
และต่อไปนี้ก็คือ 9 อุปสรรคสำคัญที่คุณต้องกำจัดทิ้งโดยด่วน เพราะมันกำลังขวางคุณ ไม่ให้ประสบความสำเร็จ

 1. ขี้อิจฉา

ในบางครั้งความขี้อิจฉาถูกเรียกว่าเป็นอาการของคนที่ทนไม่ได้เมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี อยากจะมี อยากจะเป็นเช่นนั้นบ้าง แต่รู้หรือไม่ ความอิจฉาเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสำเร็จ ยิ่งคุณพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีมากเท่าไหร่ คุณก็จะมีความสุขและมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากขึ้นเท่านั้น หากจะพูดให้ถูก ความอิจฉาเป็นเพียงเรื่องมายาเท่านั้น เพราะแม้คนอื่นจะรวย จะเรียนเก่ง หรือจะโชคดีมากแค่ไหน สิ่งเหล่านั้นก็ไม่สามารถพรากอะไรไปจากคุณได้

2. รักความสมบูรณ์แบบ

ความสมบูรณ์แบบนอกจากจะไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอะไรแล้ว ยังถือเป็นการทำร้ายตัวเองอย่างมาก เพราะมันหมายถึงคุณปล่อยให้ตัวเองถูกควบคุมโดยความคาดหวังที่สูงเกินจริง ซึ่งทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ดีพอไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ทั้งนี้อยากให้คุณเข้าใจว่าการเป็นคนสมบูรณ์แบบเกินไป ไม่รู้จักยืดหยุ่นนั้นไม่เพียงขวางความสำเร็จคุณเท่านั้นแต่ยังทำให้คุณกลายเป็นคนวิตกจริต ซึมเศร้า และไม่ประสบความสำเร็จสักทีอีกด้วย

3. ช่างเปรียบ

จงเปรียบเทียบตัวเองกับจุดเริ่มต้นและจุดหมายของคุณเท่านั้น อย่าพยายามที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเลย เพราะคนที่ประสบความสำเร็จจะไม่มีทางทำแบบนั้นอย่างเด็ดขาด เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่ามันเป็นเรื่องไร้ประโยชน์และเสียเวลาอย่างมาก หากคุณสังเกตให้ดี คุณจะพบว่าผู้คนที่รายล้อมคุณอยู่นั้น ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะมีอะไรเหมือนกับคุณไปทุกอย่าง

4. เอาแต่โทษคนอื่น

ชีวิตของเรา ผลงานและความสำเร็จของเรา ล้วนเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา ดังนั้นการโทษคนอื่นเมื่อผลลัพธ์ไม่ออกมาตามที่หวังไว้ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แทนที่จะเสียเวลามาหาว่าใครผิดใครถูก คุณควรใช้เวลาอันแสนมีค่าเพื่อแก้ไขปัญหาจะดีกว่า การเอาแต่โทษคนอื่นก็เป็นเพียงวิธีที่จะทำให้คุณไม่รู้สึกว่าคุณทำพลาดก็เท่านั้นเอง

5. ขาดความเชื่อมั่น

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณกำลังสงสัยว่าคุณจะไปได้ไกลสักแค่ไหน ขอให้คุณนึกถึงทุกอย่างในชีวิตที่คุณได้เผชิญมา ทุกอุปสรรคที่คุณเอาชนะ รวมถึงทุกความกลัวที่คุณก้าวข้ามผ่านมาได้ แล้วคุณจะเห็นว่าคุณมาได้ไกลมากเพียงใด เพราะในโลกนี้ไม่มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้ ดังนั้นอย่าให้ความสงสัยมามีผลบั่นทอนต่อหนทางสู่ความสำเร็จของคุณ

7. ขี้กลัว

หากคุณกลัวความล้มเหลว แสดงว่าคุณกลัวที่จะลงมือทำ เพราะความกลัวคือหนึ่งในการทำงานของจิตที่ทำให้เราคิดว่ายังมีเรื่องสำคัญอย่างอื่นอีกที่ต้องทำให้เสร็จ ดังนั้นอย่าให้ความกลัวมาขวางทางความสำเร็จของคุณ อันที่จริงความกลัวเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ความเสี่ยงและอันตรายที่คุณต้องเผชิญต่างหากที่เป็นของจริง จงเอาชนะมันให้ได้ แล้วก้าวต่อไปของคุณ จะแกร่งกว่าเดิม ฉลาดกว่าเดิม และเก่งกว่าที่เคยเป็นมา

8. วอกแวก

ในชีวิตประจำวันสิ่งยั่วยุที่คอยทำให้เสียสมาธินั้นล้วนอยู่รอบตัวคุณ หากอยากประสบความสำเร็จ คุณต้องมีสติให้มาก แทนที่จะให้ความสำคัญกับความสนุกเพียงชั่วครู่ ขอให้หันมาให้ความสำคัญกับเป้าหมายที่แท้จริง ฝึกให้เป็นนิสัย และอย่าให้เสียงรอบตัวดังกว่าเสียงแห่งความสำเร็จภายในใจ

9. ยึดติดความสะดวกสบาย

คนส่วนใหญ่มักบอกว่าอย่างน้อยการได้ลงมือทำแม้ผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบไหนก็ยังดีกว่าการไม่ได้ทำอะไรเลย ถึงจะผิดหวังบ้างแต่ย่อมดีกว่าการมานั่งใคร่ครวญว่า “รู้อย่างนี้…” ก้าวออกมาจากความสบายซะบ้าง ชีวิตคนเรานั้นสั้นเกินกว่าจะตื่นมาพร้อมกับความเสียดาย

 10. ผลัดวันประกันพรุ่ง

การผลัดวันประกันพรุ่งเป็นตัวบ่อนทำลายชีวิตที่คนเรานิยมทำอยู่บ่อยๆ ในทุกๆวันที่คุณไม่ยอมทำการบ้าน เลื่อนนัดการประชุมหรือแม้แต่ไม่ยอมทำโปรเจ็คต์ชิ้นสำคัญให้เสร็จ มันหมายถึงคุณเลือกใช้เวลาอันมีค่าในอีกวันเพื่อมานั่งกังวลถึงเรื่องงานที่ยังสะสางไม่เสร็จ พอถึงเวลานัดส่งงาน คุณก็จะฉุกคิดได้ว่า “แล้วก่อนหน้านี้…ฉันมัวไปทำอะไรอยู่นะ?” คุณสามารถป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ให้เกิดขึ้นได้ด้วยการมีวินัยในตัวเอง แล้วคุณจะพบว่าความสำเร็จอยู่ใกล้แค่เอื้อม
ยังมีอุปสรรคอะไรที่ขวางทางความสำเร็จของคุณอยู่อีกไหม?
ไม่ว่าอุปสรรคที่รั้งคุณไว้จะเล็กหรือใหญ่ จงหามันให้เจอ อย่าให้มันมาบั่นทอนความพยายามและความตั้งใจของคุณได้

Source: inc

10 กุมภาพันธ์ 2560

3 หนทางสู่การค้นพบ “เป้าหมายอันแท้จริงของตัวเอง”


คนเราจะสร้างชีวิตที่ใช่ ในแบบที่ชอบได้อย่างไร?

กระบวนการคิดเชิงออกแบบ(Design Thinking) คืออะไร?

ในเดือนมกราคม ปี 2016 หนังสือพิมพ์ New York Times ได้พูดถึงผลงานของ Bernard Roth อาจารย์มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ดที่ค้นพบว่า กระบวนการคิดเชิงออกแบบ(Design Thinking) ได้ช่วยให้เหล่าผู้คนนับล้านได้หลุดพ้นจากสภาวะวิกฤตทั้งเรื่องการงานและการใช้ชีวิต นอกจากนี้ในหนังสือ The Achievement Habitหรือ หนังสือที่ว่าด้วยลักษณะนิสัยของผู้ประสบความสำเร็จ ยังได้พูดถึงเรื่องของข้ออ้างต่างๆ ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านจำนวนมาก
หลายๆ คนคงเบื่อที่ต้องคิดคำตอบที่ดูดี น่าฟัง เพื่อตอบคำถามอย่างเช่น คุณต้องการอะไรในฃีวิต หรือคุณอยากจะทำอะไร เพราะบางครั้งต่อให้เราคิดให้ตายยังไง เราก็อาจยังไม่เจอคำตอบที่แท้จริง นี่เป็นเพราะเราไม่รู้หนทางที่จะช่วยให้เราค้นพบคำตอบของคำถามเหล่านี้ยังไงล่ะ
กระบวนการคิดเชิงออกแบบจะทำให้เราค้นพบคำตอบที่แท้จริงได้มากกว่าการที่เรามัวแต่นั่งคิด และเครียดกับชีวิตอันแสนยุ่งยากวุ่นวาย และนี่ก็คือ 3 กระบวนการคิดเชิงออกแบบที่นำไปสู่การค้นพบเป้าหมายอันแท้จริงของคุณเอง

1. การฟังเสียงหัวใจตัวเอง

หัวใจหลักของกระบวนการทางความคิดแบบนี้ก็คือ ความเข้าใจ เพราะมันคือก้าวแรกที่จะช่วยให้เราเห็นถึงต้นเหตุของปัญหา เช่นเดียวกับตัวเราเอง ที่เราควรเข้าใจตัวเราเองให้ได้ก่อน ฟังเสียงของตัวเองโดยไม่วิจารณ์ ไม่ดูถูกตัวเอง และไม่สนใจความเห็นของคนอื่น แล้วเราจึงจะพบคำตอบว่า สิ่งที่เราต้องการจริงๆ นั้นคืออะไร?

2. การตั้งคำถามกับตัวเอง

คนเรามักจะรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคืออะไร แต่ไม่รู้วิธีหรือหนทางที่จะช่วยให้ความฝันกลายเป็นความจริง จริงๆแล้วบทสรุปหรือคำตอบที่เราคิดว่าใช่ มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีก็ได้ เช่น อยากได้งานใหม่ หรืออยากได้รับการเลื่อนตำแหน่ง สิ่งเหล่านี้ เรารู้ว่ามันคือจุดมุ่งหมายของเรา แต่เรามักจะพบว่า การที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้นั้น มันช่างยากเหลือเกิน แทนที่จะมานั่งคิดแบบวิธีเดิมๆ เราควรมาลองคิดหาสาเหตุด้วยวิธีการตั้งคำถามกันดีกว่าว่า ทำไมเราถึงอยากเปลี่ยนงานล่ะ ทำไมเราถึงอยากเลื่อนตำแหน่ง สิ่งที่เราต้องการจริงๆ คืออะไรกันแน่ ซึ่งบางทีอาจจะพบว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้อยากเปลี่ยนงาน แต่แค่ต้องการเวลาเพิ่มขึ้นเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับงานที่ทำอยู่ หรือเราแค่ยังไม่พบความมั่นคงในสายงานที่ทำอยู่ ซึ่งการเปลี่ยนงานก็อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดก็ได้ ดังนั้น การพยายามตั้งคำถามกับตัวเองก็เหมือนกับเปลือกของหัวหอม ที่เราต้องค่อยๆ ปลอกมันทีละชั้นๆ จนเจอแกนกลางหรือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องที่สุดนั่นเอง

3. ทำเลย…ไม่ต้องลอง!

ความมั่นใจ
ถึงแม้ว่าหลายต่อหลายคนจะประสบความสำเร็จจากความเพียรพยายาม แต่บางครั้งความเพียรพยายามนั้นก็อาจจะทำให้เราเสียเวลาและเสียแรงเปล่าจากการมัวแต่ลองทำ ลองจินตนาการว่าคุณอยู่บนเครื่องบิน สะพายร่มชูชีพพร้อมที่จะโดดลงมาทุกเมื่อ ใจคุณอยากลองกระโดดร่มมาก แต่คุณก็ไม่ยอมโดดลงมาสักที ต่อให้คุณจะใช้เวลานานเป็นปีๆ เสียเวลานานเท่าไหร่ หรือศึกษาวิธีการโดดร่มจนทะลุปรุโปร่งอย่างไร คุณก็จะไม่มีวันกระโดดร่มเป็น หากคุณไม่ยอมจริงจังและตัดสินใจกระโดดลงมา เช่นกันกับชีวิต หากคุณมัวแต่ลองไปเรื่อยๆ แต่ไม่ลงมือทำอย่างจริงจังเลยสักอย่าง คุณก็จะไม่มีวันทำมันสำเร็จ

Source : Success

9 วิธีหยุดพฤติกรรมฟุ้งซ่าน คิดมาก และช่วยให้คุณกล้าตัดสินใจ



หากคุณเป็นคนโลเล การตัดสินใจในเรื่องที่เร่งด่วน หรือเรื่องสำคัญๆ จะกลายเป็นเรื่องยากไปในทันที และเมื่อคุณตัดสินใจไปแล้ว มันกลับยังไม่จบแค่นั้น เพราะคุณจะเริ่มคิดอยู่ในหัวว่า เราตัดสินใจแบบนี้ มันถูกต้องไหมนะ เอ๊ะ! หรือเราจะเลือกผิด หรือว่าถูกแล้วกันแน่ แล้วคุณก็เริ่มสับสนมากขึ้น เริ่มฟุ้งซ่าน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้คุณตัดสินใจในทันทีไม่ได้ และขาดความมั่นใจในตัวเอง เพราะฉะนั้น เลิก! เลิกคิดมากซะ!
ลองทำตามเคล็ดลับจาก Young Entrepreneur Council (YEC) ทั้ง 9 ข้อนี้ ที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจดูสิ!

1. อย่ามัวแต่คิดจนไม่ลงมือทำ

สภาวะความคิดเป็นอัมพาต หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโรคคิดมาก เป็นอาการที่คนเราคิดแต่เรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งนักธุรกิจหลายคนมักมีปัญหากับโรคนี้ คุณไม่ควรเสียเวลาทั้งหมดไปกับการคิดทุกรายละเอียดยิบย่อยในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง รวมทั้งกังวลกับสิ่งเล็กๆ

2ตั้งเวลาให้กับตัวเอง

หลายคนมักจะบอกให้เรารีบตัดสินใจในเรื่องที่เราคิดมากจนนอนไม่หลับ แต่สำหรับผม ผมจะให้เวลาตัวเองอย่างมากที่สุด 2 ชั่วโมง ในการตัดสินใจเรื่องงานต่างๆ ซึ่งการกำหนดเวลาให้ตัวเองมันช่วยให้ฉันมีเวลาในการคิดวิเคราะห์ถึงข้อดี ข้อเสีย และทบทวนสิ่งต่างๆ รวมทั้งปรึกษาคนอื่นก่อนที่จะตัดสินใจ

3. คิดแบบวิธี “Lean startup”

การตัดสินใจในทันทีทันใด บางครั้งก็ดีกว่าการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม…แต่ช้า ซึ่งอย่างไรก็ตาม ก็ควรคำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหากคุณตัดสินใจพลาด ถ้าหากเป็นเรื่องง่ายที่เราแก้ไขภายหลังได้ ก็ตัดสินใจไปเลย และพยายามหาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจเข้าไว้ ซึงก็คล้ายกับวิธีคิด แบบ lean startup คือค่อยๆ ลอง ค่อยๆ เรียนรู้สิ่งที่ตนมี แล้วปรับปรุงพัฒนาต่อไป

4ใช้ทฤษฎี 10-10-10

ลองถามตัวเองดูว่า คุณจะยังรู้สึกพอใจกับการตัดสินใจของคุณในอีก 10 นาทีข้างหน้าไหม? หรือในอีก 10 เดือนข้างหน้า หรือในอีก 10 ปีข้างหน้า วิธีนี้จะทำให้คุณได้เห็นผลลัพธ์ที่จะตามมาหลังจากที่คุณตัดสินใจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งข้อดีที่จะเกิดขึ้น แล้วคุณจะพบว่า ยิ่งคุณใช้วิธีนี้ คุณก็ยิ่งมั่นใจในการตัดสินใจของคุณเองมากขึ้น

5. บันทึกมันลงไป

ทุกครั้งที่ผมสับสน แม่ผมมักจะถามว่า ลูกได้จดมันเอาไว้ไหม? การจดบันทึกจะช่วยทำให้คุณเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น รวมทั้งช่วยให้คุณไม่มองข้ามวิธีแก้ปัญหาต่างๆ และเมื่อคุณบันทึกปัญหาต่างๆ ลงไปแล้ว ก็ลองโทรปรึกษาเพื่อนร่วมงานที่คุณไว้ใจสักคน คุณอาจจะพบคำตอบก็ได้

6. ลิสต์ทั้งข้อดีและข้อเสีย

การบันทึกข้อดีและข้อเสียของสิ่งที่ตัดสินใจเอาไว้ มันช่วยให้ฉันเห็นภาพ และนำข้อมูลมาเทียบสถิติได้ และยิ่งผลการตัดสินใจมันเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่ต้องทำ มันก็ยิ่งช่วยให้ผมเห็นภาพความเป็นไปได้ชัดเจนมากขึ้น

7. เรียนรู้จากอดีต

ลองมองย้อนเหตุการณ์ในอดีตที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ลองเรียนรู้จากเพื่อนของคุณที่เคยประสบมา จากนั้นลองคิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณเลือกตัดสินใจแบบนั้น

8. โทรปรึกษาเพื่อน

การตัดสินใจเป็นเรื่องง่าย สิ่งที่ทำให้นักธุรกิจแตกต่างกันคือความตั้งใจ เวลาที่ผมเริ่มคิดมาก ผมจะโทรหาน้องเขยผมผู้เป็นศัลยแพทย์และแทบจะไม่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจเลย แต่ด้วยไหวพริบของเขา เขามักจะมีเหตุผลดีๆ มาประกอบ ซึ่งทำให้ผมเห็นภาพได้ง่ายขึ้น

9. เชื่อมั่นในสัญชาตญาณของคุณ

สัญชาตญาณผมไม่เคยพลาดเลยซักครั้ง เวลาที่ผมต้องตัดสินใจอะไรในบริษัท ผมมักจะมั่นใจในการตัดสินใจของผม ความคิดมีความเกี่ยวเนื่องกับการทำงานของสมองในส่วนการใช้เหตุผล แต่บางครั้งก็มีส่วนของเรื่องอารมณ์และความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นหากความรู้สึกผมบอกว่าใช่ ผมก็จะเลือกหนทางนั้น

Source: Success

08 กุมภาพันธ์ 2560

เคล็ดลับ 5 ประการที่ช่วยให้คุณ “ใช้เวลาอย่างชาญฉลาด”



“เวลา เป็นสิ่งมีค่า”
หากคุณคิดว่าคำพูดข้างต้นเป็นคำพูดที่กล่าวเกินจริง ให้ลองถามทีมฟุตบอลที่คะแนนกำลังตามหลังช่วง 2 นาทีสุดท้ายของเกมส์ เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศที่ต้องทำหน้าที่จัดลำดับเครื่องขึ้นลงที่สนามบินใหญ่ๆ ผู้รายงานข่าวที่เพิ่งรู้ว่าต้องรีบมารายงานข่าวด่วน หรือแม้แต่ผู้ป่วยมะเร็งที่เพิ่งทราบว่าตัวเองจะอยู่ได้อีกเพียง 2 เดือน แล้วคุณจะได้รับคำตอบ
การบริหารเวลา ฟังแล้วเหมือนจะเป็นสิ่งที่ค่อนข้างขัดแย้ง เพราะเวลาเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ แม้แต่เข็มบนหน้าปัดนาฬิกาก็ถูกออกแบบมาให้เดินไปข้างหน้าไม่ถอยหลังกลับ ดังนั้นการเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำ จึงเป็นคำตอบของ วิธีการใช้เวลาอย่างคุ้มค่า เวลาในแต่ละวันของเราเปรียบเสมือนกระเป๋าเดินทางที่แม้ว่าจะมีขนาดเท่ากัน แต่บางคนกลับใส่เสื้อผ้าลงไปได้มากกว่า และด้วยความจริงที่ว่าไม่มีใครมีเวทมนต์ที่จะเสกเวลาให้ถอยหลังกลับได้ การตั้งเป้าหมายเพื่อเป็นแนวทางในการใช้ชีวิต จึงถือเป็นการใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
การจัดการเวลาอาจกล่าวได้ว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของการเป็นผู้นำ Peter Drucker กล่าวว่า “สิ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จต่างจากคนทั่วไปก็คือ พวกเขาเห็นคุณค่าของเวลา
คำถามคือ เราจะให้ใช้เวลาในแต่ละวันอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และต่อจากนี้ไปคือ 5 คุณลักษณะของผู้ที่ใช้เวลาอย่างชาญฉลาด ที่คุณสามารถเรียนรู้และทำตามได้

1. มีเป้าหมาย

คนที่ใช้เวลาได้ฉลาดที่สุด คือคนที่ใช้มันไปกับการพัฒนาให้ชีวิตตัวเองหรือผู้อื่นดีขึ้น หากคุณจัดสรรเวลาให้เหมาะสมเพื่อทุ่มเทให้กับเป้าหมายอย่างเต็มความสามารถ ก็อาจพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า “ไม่มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้”
วินาทีที่เราลืมตาดูโลกนั้นช่างมีค่าพอๆกับวินาทีที่เรารู้ว่าแท้จริงแล้วเราเกิดมาเพื่อสิ่งใด เพราะชีวิตคุณแทบจะไร้ความหมายหากปราศจากเป้าหมายที่ชัดเจน  เป้าหมายช่วยให้คุณเห็นว่าต้องเดินไปทางไหน ช่วยเติมเต็มคุณค่าในตัวคุณ ทำให้คุณมีความเพียรพยายามและความรับผิดชอบ ผลลัพธ์คือความสำเร็จที่อยู่ไม่เกินเอื้อมมือ

2. มองเห็นคุณค่าของเวลา

คนที่ประสบความสำเร็จมักใช้ทุกวินาทีของพวกเขาอย่างมีค่าที่สุด และด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาหรือเธอใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาเหล่านั้นมักมีแนวโน้มที่จะใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอยโดยไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่ต้องให้ความสำคัญ อันที่จริงการเห็นค่าของเวลาก็เปรียบได้กับการเห็นแสงสว่างของดาวเหนือ ที่ช่วยให้คุณไม่หลงทางบนเส้นทางชีวิตที่ไร้ความแน่นอน
และหากจะเปรียบค่าของเวลาเป็นองค์กรหนึ่ง วิสัยทัศน์ในการทำงานก็คงเปรียบเหมือนสมอง เป้าหมายคือหัวใจ และค่าของเวลาก็เปรียบดั่งจิตวิญญาณในการทำงาน เพราะเมื่อใช้เวลาอย่างรู้ค่า ความตั้งใจและความพยายามในการทำงานย่อมเพิ่มขึ้นจนส่งผลให้ผลลัพธ์ที่ออกมาคุ้มค่ากับสิ่งที่ทุ่มเทไป ส่งผลให้การทำงานในทุกๆวันไม่เสียเปล่า

3. พัฒนาสิ่งที่ตนถนัด

คนที่ใช้เวลาอย่างเหมาะสมมักใช้เวลาเพื่อพัฒนาสิ่งที่ตนถนัด บริษัทจะเสียเงินจ้างคุณทำไมหากคุณไม่มีอะไรโดดเด่นกว่าคนอื่นเลย และจำไว้ว่าหากเต็ม 10 ระดับ ทักษะใดก็ตามที่คุณประเมินให้อยู่ที่ระดับ 2 อย่าเสียเวลาไปกับมันมากจนเกินไป เพราะคุณมีแนวโน้มที่จะพัฒนามันได้ไม่เกินระดับที่ 4 แต่หากคุณประเมินแล้วว่าเต็ม 10 ทักษะนั้นอยู่ที่ระดับ 7 นี่ล่ะคือสิ่งที่คุณถนัด พยายามใช้เวลาเพื่อพัฒนาทักษะนั้น และไม่นานจากเพียงแค่ความถนัดมันจะกลายเป็นสิ่งที่คุณชำนาญในไม่ช้า
ดังที่ Jim Sundberg ได้กล่าวไว้ว่า “หาสิ่งพิเศษในตัวคุณให้พบ และจงใช้เวลาเพื่อพัฒนามัน” ถือเป็นเรื่องดีที่คุณมีทักษะหรือความสามารถที่พิเศษกว่าคนทั่วไป เพียงแค่หามันให้พบ หมั่นฝึกฝนให้เก่งแล้วมันจะนำคุณไปพบกับความสำเร็จ

4. มองหาความสุข

คนที่ใช้เวลาอย่างถูกต้องมักเลือกความสุขเพื่อตัวเองก่อนเสมอ โดยจะให้เวลากับครอบครัว คนรัก หรือกิจกรรมที่ทำให้พวกเขามีความสุข แม้ข้อแนะนำข้างต้นจะฟังดูเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆก็เข้าใจได้ แต่หลายคนกลับเลือกให้ความสำคัญกับหน้าตาฐานะทางสังคมมากกว่าความสุขจากภายใน พวกเขามีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับงานจนลืมวันเกิดภรรยาสุดที่รัก พลาดการเข้าชมลูกๆแสดงละครเวที หรือ ไม่แม้แต่จะไปพักผ่อนต่างจังหวัดกับครอบครัว กว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้วเพราะสิ่งที่ได้รับกลับมีเพียงชื่อเสียงและความสำเร็จที่ไม่จีรัง
การบริหารเวลาให้เป็น นับเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของผู้ที่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นนอกจากเวลางานคุณควรจัดสรรเวลาให้กับเพื่อน คนรัก หรือครอบครัวบ้าง เพราะในทุกๆความสัมพันธ์ล้วนมีปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสุข นอกจากนี้การจัดสรรเวลาว่างเพื่อทำงานอดิเรกก็ช่วยให้คุณได้ผ่อนคลายความเครียดจากงานที่ค้างคาได้เช่นกัน แม้การอยู่กับครอบครัว เพื่อน หรืองานอดิเรกจะทำให้เรามีความสุข ทั้งนี้ทั้งนั้นความสุขก็เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล เพราะท้ายที่สุดทุกๆเหตุการณ์ ทุกๆความสัมพันธ์ที่คุณเผชิญล้วนอยู่ที่ตัวคุณเองว่าจะมองให้มันเป็น ความสุขหรือความทุกข์

5. เป็นครูฝึกที่ดี

คนที่ใช้เวลาได้เหมาะสมที่สุด จะไม่ยอมทำงานคนเดียวอย่างแน่นอน เพราะพวกเขารู้ดีว่าคนเรามีขีดจำกัด ดังนั้นการทำงานเป็นทีมย่อมเกิดประสิทธิภาพมากกว่า อีกทั้งพวกเขาจะไม่หวงความรู้ แต่จะเป็นครูฝึกที่คอยถ่ายทอดความรู้ความสามารถให้กับสมาชิกคนอื่นๆ ในทีมอยู่เสมอ
พวกเขารู้ดีว่าศักยภาพของบุคคลที่เพิ่มขึ้นถือเป็นตัววัดความสำเร็จไม่ใช่ถ้วยรางวัล ดังนั้นสิ่งที่พวกเขามักจะทำเป็นประจำก็คือ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพื่อให้เห็นว่าสมาชิกในทีมมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาได้ถ่ายทอด และพวกเขาให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ในระยะยาว สิ่งที่พวกเขาได้รับเป็นการตอบแทนจึงไม่เพียงแต่เป็นความสำเร็จของพวกเขาเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสำเร็จของสมาชิกในทีมด้วย
ขอให้คุณเข้าใจว่าเวลาในแต่ละวันนั้นมีจำกัด แม้เราจะรู้สึกว่าแค่ 24 ชั่วโมงมันไม่เพียงพอก็ตาม แต่หากคุณบริหารเวลาให้ดี คุณจะรู้สึกว่าในหนึ่งวันคุณกลับมีเวลาทำสิ่งต่างๆได้มากมายเลยทีเดียว

Source : Success

02 กุมภาพันธ์ 2560

7 สิ่งสำคัญที่คุณ”ควรทำ”ก่อนเริ่มทำงาน เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ


เช้าวันใหม่ในออฟฟิศมาถึงแล้ว วันนี้จะเป็นวันที่ดีไหมนะ? จะเป็นวันที่มีเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลหรือไม่? แม้ว่าออฟฟิศจะเป็นสถานที่ที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่มีหลายสิ่งที่คนทำงานเป็นมักทำแตกต่างจากคนทั่วไป เพื่อทำให้ทุกๆ วันของพวกเขาเกิดประโยชน์สูงสุด คนทำงานเป็นจะรู้ดีว่าใน 10 นาทีแรกของทุกๆ วันในออฟฟิศ จะเป็นตัวกำหนดความสามารถในการทำงานตลอดทั้งวันได้ พวกเขาจะทำบางสิ่งบางอย่างก่อนการเริ่มงานในทุกๆวันอย่างสม่ำเสมอ เพราะฉะนั้นหากคุณต้องการจะเป็นคนมีประสิทธิผล ลองทำ 7 สิ่งนี้ดูสิ ในช่วง 10 นาทีแรกก่อนการเริ่มงาน รับรองได้ผลดีต่อตัวคุณและบริษัทแน่นอน

1. เขียน 3 สิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกประทับใจ

ถนัดซ้าย
จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยไมอามี่ เกี่ยวกับความประทับใจ พบว่ากลุ่มคนที่เขียนบันทึกประจำวันเกี่ยวกับความประทับใจของตัวเองมักจะมีความสุขและมีประสิทธิผลมากกว่าคนทั่วไป Sheryl Towers โค้ชผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาตนเอง ได้กล่าวในหนังสือ Seeds of Success ของเธอว่า ”ผลของงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการเขียนบันทึกประจำวันเกี่ยวกับความประทับใจของตนเองนั้น ส่งผลให้ระหว่างการทำงานมีความตื่นตัว กระตือรือร้น มุ่งมั่น คิดแง่บวก และมีพลังใจมากขึ้น นอกจากนี้ บุคคลเหล่านี้จะมีความหดหู่และความเครียดน้อยกว่าคนทั่วไป รวมทั้งมีแนวโน้มที่จะให้ความช่วยเหลือผู้อื่นและมีความก้าวหน้าในการทำงานตามเป้าหมายมากกว่าคนทั่วไปด้วย”

2. จัดโต๊ะทำงานให้มีระเบียบ

macbook
หากพูดถึงการจะทำตัวเองให้เป็นคนที่มีประสิทธิผล คงไม่มีอะไรจะมาขัดขวางคุณได้มากไปกว่าการที่โต๊ะทำงานของคุณเละเทะระเกะระกะอีกแล้ว หากคุณต้องใช้เวลาเพื่อมัวหาปากกา ที่เย็บกระดาษ สมุดโน้ต หรือแม้แต่เอกสารสำคัญต่างๆ อย่างเร่งรีบอยู่บ่อยๆ มันก็เป็นการสิ้นเปลืองเวลาโดยใช่เหตุ ดังนั้น คุณควรใช้เวลาสักพักในระหว่าง 10 นาทีแรกของการทำงาน เพื่อจัดแจงโต๊ะทำงานของคุณให้เป็นระเบียบและง่ายต่อการหาสิ่งของต่างๆ ที่ต้องใช้ในระหว่างวันนั่นเอง

3. พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานของคุณ

พูดคุย
คุณควรเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการกล่าวทักทาย พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศ สิ่งสำคัญอีกหนึ่งสิ่งที่ควรรู้ในการจะเป็นคนที่มีประสิทธิผลคือ คุณควรรู้ว่าคำถามที่คุณกำลังสงสัยอยู่นั้น คุณควรจะถามใครและควรจะถามเมื่อไหร่? การที่คุณพยายามจะหาคำตอบในทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวคุณเองนั้น ในบางทีมันกลับเป็นเหมือนอุปสรรคที่ขวางกั้นความสำเร็จโดยที่คุณไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ดังนั้นคุณควรพยายามสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงานของคุณ เพราะคนที่มีประสิทธิผลจะรู้ดีว่ามิตรภาพนั้นสำคัญมากแค่ไหน พวกเขาจึงใช้เวลาในช่วง 10 นาทีแรกของทุกวัน เพื่อเดินไปรอบๆ ออฟฟิศ กล่าว “สวัสดี” ทักทายและพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นอย่างเป็นมิตร

4. เขียนเป้าหมายที่สำคัญ 3 อันดับแรกที่ต้องทำในแต่ละวันpen-calendar-to-do-checklist

คนที่ทำงานเป็นมักจะเขียนเป้าหมายที่สำคัญ 3 อันดับแรกที่เขาต้องทำในแต่ละวันไว้ และหากพวกเขาทำไม่สำเร็จ ก็จะถือว่าวันนั้นเป็นวันที่มีอะไรขาดหายไปหรือไม่ก็เป็นวันที่ไม่สมบูรณ์นั่นเอง การวางเป้าหมายที่สำคัญ สามารถช่วยให้คุณโฟกัสอยู่กับเรื่องที่สำคัญได้เป็นอย่างดี แทนที่จะถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปกับเรื่องอื่นๆ ที่วุ่นวายในออฟฟิศ

5. ทบทวนรายการสิ่งที่ต้องทำของคุณ

เมื่อคุณจัดลำดับความสำคัญต่างๆ เรียบร้อยแล้ว คุณควรเช็คว่าสิ่งที่อยู่ในรายการสิ่งที่ต้องทำของคุณนั้น มีความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับเป้าหมายและความสำคัญของงานที่วางไว้หรือไม่ ซึ่งการทำรายการสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันจะช่วยให้คุณรู้ว่าแผนถัดไปหลังจากส่วนนี้ จะเป็นส่วนใดต่อไป มันจะช่วยให้การทำงานระหว่างวันของคุณสะดวกยิ่งขึ้น

6. ตอกย้ำเป้าหมายตนเองในทุกๆ วัน

คนที่มีประสิทธิผลมักจะมองโลกในแง่ดีและมีความหวังอยู่เสมอ พวกเขาจะไม่ใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างหมดหวังแน่นอน เขาจะทำทุกๆ วันให้เป็นวันที่ดีที่สุด Matthew D. Della Porta ผู้เขียนหนังสือ The How of Happiness เขียนไว้ว่า “การตอกย้ำเป้าหมายตนเองถือเป็นการช่วยให้สมองของคุณคิดในแง่บวก มันช่วยทำให้ความจริงหลายๆ อย่างเผยออกมาชัดเจนขึ้น อีกทั้งยังช่วยการสร้างความอุ่นใจและปรับแนวคิดการมองโลกของคุณด้วย เราอาจกล่าวได้ว่ามันเป็นวิธีการที่มีประสิทธิผลในการมุ่งไปสู่การปรับทัศนคติของคุณเลยก็ว่าได้”

7. อ่านคำคมที่ช่วยเสริมสร้างแรงบันดาลใจ

ประสบความสำเร็จ
ทุกวันคุณควรเติมพลังใจในการทำงานด้วยคำคมหรือวลีเด็ดๆ ของบุคคลที่ประสบความสำเร็จก่อนที่จะตั้งหน้าตั้งตาทำงาน คนที่มีประสิทธิผลมักจะหาแรงบันดาลใจจากบุคคลที่พวกเขาชื่นชอบหรือเป็นไอดอลของพวกเขาอยู่เสมอ ด้วยการอ่านคำคมสร้างแรงบันดาลใจเหล่านั้น
ใน 10 นาทีแรกของวัน มันสามารถเป็นตัวกำหนดความมีประสิทธิภาพในการทำงานของทั้งวันนั้นได้ หากคุณลองก้าวตามเส้นทางของคนมีประสิทธิผลทั้ง 7 ข้อที่กล่าวมาข้างต้นนี้ แล้วทุกๆ วันของคุณจะเป็นวันที่มีความหมายและช่วยให้คุณกลายเป็นหนึ่งในคนที่ประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน

Source : Life Hack