26 ธันวาคม 2559

17 หลักการแห่งความสำเร็จ ของ “นโปเลียน ฮิลล์”


สิ่งใดก็ตามที่คุณกล้าจะนึกฝันและเชื่อมั่น ทุกสิ่งนั้นย่อมเป็นไปได้เสมอ
นโปเลียน ฮิลล์ ผู้เขียนหนังสือ “Napoleon Hill’s Keys to Success: The 17 Principles of Personal Achievement” (หนังสือเล่มนี้มีฉบับแปลไทยครับ ชื่อหนังสือชื่อว่า “หัวใจแห่งความสำเร็จ” ยังไงก็ลองหามาอ่านกันได้) เขาได้เผย 17 หลักการที่มีผลต่อความสำเร็จของคนเรา โดยสรุปเป็นใจความสำคัญของแต่ละหลักการไว้สั้นๆ ดังนี้

บทที่ 1 การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน

การมีเป้าหมายที่แน่นอนชัดเจน คือจุดเริ่มต้นของการประสบความสำเร็จทั้งปวง การที่คุณไม่มีเป้าหมายหรือแผนการในหัวนั้น จะทำให้คุณใช้ชีวิตอย่างไร้จุดมุ่งหมายเหมือนกับเรือที่ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางมหาสมุทร

บทที่ 2 การร่วมมือร่วมใจกัน

หลักการของแนวคิดนี้ก็คือ การทำงานร่วมกันระหว่างสองบุคคลขึ้นไปเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่ได้วางไว้ และความสำเร็จจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากปราศจากการร่วมมือกันกับผู้อื่น

บทที่ 3 การมีศรัทธา

ความศรัทธา คือ สภาวะที่จิตใจของเราแฝงไปด้วย เป้าหมาย แรงปรารถนา และแผนการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองที่จะนำไปสู่ความสมดุลในชีวิตและทรัพย์สิน

บทที่ 4 การทำมากกว่าที่ใครคาดหวัง

เมื่อคุณทำมากกว่าที่คนอื่นคาดหวัง กฎแห่งการตอบแทนจะปรากฎขึ้น
การทำให้มากเกินกว่าที่ใครคาดหวัง คือการปฏิบัติหน้าที่ให้มากกว่าเงินเดือนที่คุณถูกจ้าง และเมื่อคุณทุ่มสุดตัวเมื่อใด เมื่อนั้นคุณก็จะได้รับค่าตอบแทนอันคุ้มค่าตามมา

บทที่ 5 การมีบุคลิกภาพที่ดี

บุคลิกภาพ คือภาพรวมของ จิตใจ อารมณ์ความรู้สึก ลักษณะท่าทาง และอุปนิสัยของเรา ที่สามารถแยกลักษณะออกจากบุคคลคนอื่นๆ ได้ สิ่งนี้เองที่คนอื่นใช้ตัดสินเราว่าเราเป็นคนน่าไว้ใจหรือไม่

บทที่ 6 การริเริ่มที่ตัวของเราเอง

การเริ่มต้นที่ตัวเราเอง คือพลังที่จะกระตุ้นให้เกิดการบรรลุเป้าหมายที่เราได้ตั้งไว้ มันคือพลังซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำทั้งปวง คุณจะไม่สามารถเป็นอิสระได้เลย จนกว่าคุณจะเรียนรู้ที่จะทำในสิ่งคุณอยากทำและมีความกล้าพอที่จะลงมือทำมัน

บทที่ 7 การมีทัศนคติที่ดี

การมีทัศนคติเชิงบวก คือสิ่งที่ควรทำในทุกสถานการณ์ เพราะเราคิดสิ่งใดมันย่อมดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามาเสมอ ความสำเร็จก็มักดึงดูดความสำเร็จมากมายเข้ามา ขณะที่ความล้มเหลวก็มักจะดึงดูดความล้มเหลวมากมายเข้ามาเช่นกัน

บทที่ 8 การกระตือรือร้น

ความกระตือรือร้น คือการมีศรัทธาหรือความปรารถนาอันแรงกล้าที่ออกมาจากภายใน และสามารถแสดงออกมาผ่านน้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง และอารมณ์ได้

บทที่ 9 การมีวินัยในตนเอง

การมีวินัยในตัวเองเริ่มจากการเป็นนายของความคิดตัวเอง หากคุณควบคุมมันไม่ได้ คุณก็ควบคุมความต้องการของตัวเองไม่ได้เช่นกัน ซึ่งการที่คุณจะมีวินัยในตัวเองได้นั้น คุณจำเป็นต้องมีความสมดุลของสมองและหัวใจ หรือสมดุลการใช้เหตุผลและอารมณ์นั้นเอง

บทที่ 10 การมีความคิดที่เที่ยงตรง

พลังแห่งความคิด อาจพลังที่อันตรายที่สุดหรืออาจจะเป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับมนุษยชาติ ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะใช้มันอย่างไร

บทที่ 11 การใส่ใจในสิ่งที่ทำอยู่

การมีจิตใจจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่ นำไปสู่การเป็นนายของความเพียรพยายาม นอกจากมันจะช่วยให้คุณสามารถโฟกัสความคิดของคุณได้แล้ว มันยังช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายและรักษาความตั้งใจของคุณเอาไว้ได้ด้วย

บทที่ 12 การทำงานเป็นทีม

ทีมเวิร์ค คือการทำงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งก็คือ ความตั้งใจ สมัครใจ และความเป็นอิสระ เมื่อใดก็ตามที่ทุกคนมีความสามัคคีกันในการทำธุรกิจหรืออุตสาหกรรม ความสำเร็จก็ย่อมไม่หนีไปไหน ความสามัคคีกลมเกลียวจึงเป็นเสมือนสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้เลย

บทที่ 13 การรู้จักความลำบากและความพ่ายแพ้

ความล้มเหลวเป็นเพียงความพ่ายแพ้เพียงชั่วคราวที่พิสูจน์ว่า นี่อาจจะเป็นพรอันประเสริฐที่แปลงตัวมา หรือเรียกอีกอย่างก็คือ เรื่องดีๆ ที่แฝงอยู่ในเรื่องร้ายๆ
การที่คนเราจะประสบความสำเร็จได้นั้น ล้วนผ่านความยากลำบากและความล้มเหลวมาก่อนแล้วทั้งนั้น

บทที่ 14 การคิดอย่างสร้างสรรค์

การมีความคิดสร้างสรรค์ เกิดขึ้นจากการที่คุณกล้าคิด กล้าจินตนาการได้อย่างอิสระ มันจึงไม่ใช่ปาฏิหาริย์และไม่เกี่ยวกับการมีพรสวรรค์หรือไม่มีพรสวรรค์มาแต่กำเนิด

บทที่ 15 การมีสุขภาพที่ดี

การมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเริ่มด้วยการฝึกฝนสมาธิ ซึ่งก็เหมือนกับการประสบความสำเร็จในการลงทุน ที่เริ่มด้วยการเจริญสติ

บทที่ 16 การบริหารเวลาและเงิน

เวลาและเงินคือทรัพยากรที่มีค่า และมีคนที่กำลังต่อสู้เพื่อความสำเร็จเหล่านี้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่เชื่อมั่นว่าพวกเขาจะต้องครอบครองสิ่งเหล่านี้ให้ได้

บทสุดท้าย บทที่ 17 อุปนิสัย

การพัฒนาและการสร้างนิสัยเชิงบวกจะช่วยให้จิตใจเราสงบขึ้น มีสุขภาพดีและมีความมั่นคงทางการเงินด้วย ดังนั้นความสำเร็จของคุณล้วนมาจากสิ่งเหล่านี้ก็คือ นิสัยเชิงบวก วิธีคิด และการกระทำของคุณเอง

Source : success

25 ธันวาคม 2559

นักจิตวิทยาเผย 2 ปัจจัยที่คนอื่นใช้ตัดสินคุณ เมื่อพบคุณครั้งแรก



ตั้งแต่มนุษย์เกิดขึ้นมา มนุษย์เราก็เริ่มตัดสินคนอื่น ๆ ทั้งแบบที่ไม่รู้ตัว(จิตใต้สำนึก) และแบบที่รู้ตัว เราสามารถตัดสินคนอื่นได้ภายในไม่กี่วินาที แล้วมนุษย์เราใช้ปัจจัยอะไรบ้างในการที่จะตัดสินผู้อื่น?
Amy Cuddy ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำ Harvard Business School ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับ ความประทับใจแรก หรือ First Impression ร่วมกับนักจิตวิทยานาม Susan Fiske และ Peter Glick เป็นเวลายาวนานกว่า 15 ปี และได้พบรูปแบบที่ตายตัวของการปฏิสัมพันธ์นี้
Ammy Cuddy pic from Flickr
Ammy Cuddy pic from Flickr
Cuddy เขียนไว้ในหนังสือเล่มใหม่ของเธอ “Presence” ว่า ผู้คนจะตอบคำถาม 2 คำถามนี้ ทันทีที่พวกเขาเจอคุณเป็นครั้งแรก
  • ฉันจะไว้ใจคน ๆ นี้ได้หรือเปล่า?
  • ฉันจะนับถือคน ๆ นี้ได้หรือเปล่า?  
นักจิตวิทยาเรียกสองสิ่งนี้ว่า ความอบอุ่น และ ความสามารถ ตามหลักการแล้วคุณจะอยากให้คนอื่นมองว่าคุณนั้นมีทั้งสองอย่าง
Photo Credit : TED Talks
Photo Credit : TED Talks
Cuddy กล่าวว่าคนส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับ ความสามารถ มากกว่าโดยเฉพาะในบริบทของหน้าที่การงาน นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาอยากพิสูจน์ให้คุณเห็น ว่าพวกเขาก็ฉลาดและเก่งพอๆกับคุณ
แต่จริง ๆ แล้ว ความอบอุ่น หรือ ความคู่ควรแก่การไว้ใจ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดทีคนอื่นใช้ตัดสินเรา “หากเล่าถึงบรรพบุรุษของเรา” Cuddy กล่าว “การที่พวกเขาจะไว้ใจใคร ถือเป็นสิ่งสำคัญในการเอาตัวรอดมากกว่าสิ่งอื่น” หากเรามองย้อนไปที่มนุษย์ยุคหิน เราก็จะเข้าใจว่า การที่จะไว้ใจใครนั้นเป็นสิ่งสำคัญเอามาก ๆ เพราะสภาพชีวิตที่ค่อนข้างป่าเถื่อนทำให้พวกเขามีโอกาสถูกปล้นหรือถูกฆ่าสูง
Cuddy กล่าวว่า ความสามารถเป็นสิ่งสำคัญ แต่ในขณะเดียวกันคนเราจะมองเห็นความสามารถของกันและกันก็ต่อเมื่อได้ไว้ใจกันแล้ว นอกจากนี้ ถ้าคุณกังวลเรื่องความสามารถของตนมากเกินไป ก็อาจส่งผลเสียได้ อย่างเช่น พนักงานบริษัทที่เพิ่งจบใหม่มักจะให้ความสำคัญกับการถูกมองว่าเป็นคนเก่งและมีความสามารถ ทำให้พวกเขาไม่สุงสิงกับใครและไม่ชอบขอความช่วยเหลือ จนพวกเขาดูไม่เป็นมิตร ทำให้คนเหล่านี้มักได้รับการตอบรับจากคนอื่นในด้านลบ และมักจะไม่ได้รับงาน เพราะไม่มีใครในที่ทำงานไว้ใจพวกเขาเลย
“หากคุณต้องการจะพูดโน้มน้าวใครสักคน เพื่อให้เขาช่วยคุณหรือซื้อของ ๆ คุณ แต่เขากลับไม่ไว้ใจคุณ และคุณอาจจะต้องผิดหวัง หากในความเป็นจริงแล้ว อาจเป็นเพราะว่าเขามองว่าคุณเป็นคนเจ้าเล่ห์ก็ได้” Cuddy กล่าว
“ผู้ที่มีความอบอุ่น ความน่าไว้ใจ และมีความสามารถ ถือเป็นคนที่น่ายกย่อง แต่ก่อนจะโฟกัสที่ความสามารถนั้นคุณควรได้รับการไว้วางใจเสียก่อน แล้วความสามารถของคุณจึงจะกลายเป็นพรสวรรค์ ไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมที่ดูน่ากลัว”

Source : Tech Insider


23 ธันวาคม 2559

5 สัญญาณที่บ่งบอกความเป็น CEO ในตัวคุณ


เคยสงสัยไหมครับว่า ความเป็นผู้บริหารหรือที่เรามักเรียกกันว่า CEO นั้นมีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด หรือต้องสั่งสมประสบการณ์สร้างมันขึ้นมาเอง? เบน โฮโรวิทซ์ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จจนกลายเป็นนักธุรกิจชั้นนำกล่าวว่า ทักษะขั้นสูงส่วนใหญ่ล้วนต้องอาศัยเวลาหลายปีเพื่อสั่งสมประสบการณ์การทำงาน
คุณลักษณะสำคัญต่างๆ ของ CEO เช่น การติชมพนักงานนั้น มาจากการฝึกฝน ไม่ต่างจากกีฬามวยที่ต้องฝึกยกเท้าด้านหลังก่อน ซึ่งเป็นท่าทางที่ฝืนธรรมชาติ โดยเขากล่าวว่า “ปกติแล้วก็ต้องใช้เวลาหลายปีนะ กว่าผู้บริหารจะพัฒนาทักษะความสามารถต่างๆ ที่จำเป็นต่อการบริหารได้” ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ความเป็น CEO ไม่ได้มีมาตั้งแต่เกิด หากแต่ต้องสั่งสมมาจากประสบการณ์นั่นเอง
การจะกลายเป็นผู้นำที่ดีได้ต้องอาศัยการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าใครก็ตามที่ฝึกหนักแล้วจะกลายเป็น CEO ที่ดีได้หมดทุกคนหรอกนะ คุณอาจรู้สึกอิจฉาผู้นำบางคนที่แทบไม่ต้องฝึกฝนอะไร แต่ก็เป็นผู้นำที่ใครๆ ต่างเคารพนับถือ เนื่องจากคนเหล่านี้มีชุดความคิดบางอย่างเป็นพื้นฐานก่อนการเรียนรู้เพื่อไปสู่การเป็นผู้นำที่ดีมาแต่ก่อนแล้วนั้นเอง

1. คุณเป็นคนอยากรู้อยากเห็นและใฝ่เรียนรู้อยู่เสมอ

ลักษณะข้อแรกในการพัฒนาตัวเองเพื่อก้าวไปสู่การเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จก็คือ การเป็นคนรักการเรียนรู้อยู่เสมอ อย่างที่นักธุรกิจชื่อดังแทบทุกคน ไม่ว่าจะเป็น วอร์เรน บัฟเฟตต์ บิลล์ เกตส์ ไปจนถึงโอปราห์ วินฟรีย์ มักจะบอกว่าตัวเองเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าคุณต้องการข้อมูลสนับสนุนที่น่าเชื่อถือกว่านี้ เราก็มีมานำเสนอให้คุณเช่นกัน
The New York Times ได้เขียนเกี่ยวกับงานวิจัยหนึ่งที่เผยว่า ประสบการณ์การทำงานหลากหลายบทบาทจะทำให้คุณมีแนวโน้มไปสู่ตำแหน่งสูงสุดขององค์กรได้มากกว่า ตั้งแต่การเงินจนไปถึงฝ่ายการตลาด ไม่ใช่แค่ตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาให้เก่งในด้านที่ตัวเองทำเท่านั้น
นีล เออร์วิน นักข่าวของ The New York Times เขียนไว้ว่า “การประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจไม่ใช่แค่เรื่องของความฉลาดหรือการไต่เต้าไปสู่จุดสูงสุด แต่คือการสะสมทักษะที่หลากหลายและสามารถเรียนรู้เรื่องที่อยู่นอกเหนือจาก comfort zone ของตัวเองได้”

2. คุณเต็มใจยอมรับว่าตัวเองเป็นคนที่โง่ที่สุดในห้อง

แน่นอนว่า CEO จะต้องเป็นคนฉลาดในระดับหนึ่งจึงจะบริหารบริษัทได้ แต่สำหรับผู้บริหารชั้นนำนั้น สิ่งที่สำคัญกว่าความสามารถส่วนตัวก็คือการเฟ้นหาและรับฟังผู้ร่วมงานที่มีความสามารถนั่นเอง การเป็นผู้นำที่ดีต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตัว ยอมรับนับถือในความสามารถของผู้อื่น รวมถึงต้องมีความมั่นใจในตนเองพอที่จะกล้าเปิดเผยขีดจำกัดของตนและรับความช่วยเหลือจากผู้อื่นด้วย
นอกจากนั้น เควิน จอห์นสัน ยังได้เขียนอธิบายไว้อย่างชัดเจนอีกว่า คุณต้องยอมรับให้ได้ว่าบางครั้งคุณก็อาจเป็นคนที่โง่ที่สุดในห้องก็ได้ “คนทั่วไปมักจะกลัวคนฉลาด ถ้าให้เลือกระหว่างการถูกขังไว้กับผู้คนที่ฉลาดสุดๆ กับคนธรรมดาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ คนส่วนใหญ่ก็จะเลือกอยู่กับคนธรรมดามากกว่า”
คุณต้องให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และผลลัพธ์ที่ได้มาก่อนอัตตาของตนเสมอ และควรคบหากับเหล่าคนที่ฉลาดๆ เข้าไว้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมจอห์นสันจึงมองหาเพื่อนใหม่ๆ ที่ฉลาดเป็นเลิศอยู่เสมอ “พวกเขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ดีพอ บางทีก็ถึงขั้นรู้สึกว่าตัวเองยังโง่มากๆ แต่ผมรับได้นะ เพราะรู้ว่าตัวเองได้เรียนรู้อะไรมากมายจากพวกเขา” เขาอธิบาย

3. คุณทำตามความฝัน แม้จะรู้ว่ามันเป็นไปได้ยาก

อยากรู้ไหมว่า อีลอน มัสก์ ผู้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่กล้าเสี่ยงมากที่สุดในโลกนั้นจัดการกับความเสี่ยงยังไง? เขาไม่ได้ไม่ใส่ใจมันหรอกนะ ซ้ำยังเพิ่งให้สัมภาษณ์ว่า อันที่จริงแล้ว เขากลัวความเสี่ยงสูงจากการดำเนินโครงการหลุดโลกต่างๆ เช่น เรื่องการอาศัยบนดาวอังคาร โดยยอมรับว่า “ผมรู้สึกกลัวมากเลยล่ะ!”
แทนที่จะเผชิญกับความเสี่ยงด้วยการมองโลกในแง่ดีอย่างไร้เหตุผล มัสก์จะศึกษาโอกาสของความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น และลิสต์รายการความเสี่ยงทั้งหมดที่เขากำลังเผชิญอยู่ แต่เขาก็จะดำเนินการต่ออยู่ดี “ตอนเริ่มทำ SpaceX ผมคิดว่าโอกาสที่จะสำเร็จนั้นมีแทบไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ และผมก็ยอมรับได้ว่าเราอาจจะไม่เหลืออะไรกลับมาเลย แต่บางทีเราอาจจะสามารถสร้างความก้าวหน้าอะไรขึ้นมาบ้างก็ได้” เขากล่าว
การเฝ้าระวังความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ถือเป็นเครื่องหมายการค้าของนักบริหารที่เยี่ยมยอดเลยก็ว่าได้  โรเบิร์ต สคอเบิล ผู้ซึ่งศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ CEO ให้กับเว็บไซต์ Rackspace ได้เขียนลงในเว็บไซต์ Quora ว่า ผู้บริหารในอุดมคติเป็นคนที่ “เชื่อมั่นว่าจะทำเป้าหมายในระยะยาวให้สำเร็จได้ ในขณะเดียวกันก็ยังกังวลเรื่องการทำตามเป้าในระยะสั้นให้ได้ด้วย มุมมองแบบนี้ทำให้ผู้ประกอบการรักษาความเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของบริษัทได้โดยไม่ละเลยงานพื้นฐานๆ ของธุรกิจ Startup ด้วย”

4. คุณหมกมุ่นในสิ่งที่ทำ

บ้างก็เรียกคุณลักษณะเช่นนี้ว่า ความคลั่งไคล้ (Passion) บ้างก็เรียกว่าความใส่ใจ แต่ไม่ว่าจะเรียกมันว่าอะไรก็ตาม การเป็น CEO ชั้นเยี่ยมจะต้องสามารถจดจ่อกับโจทย์หรือปัญหาที่น่าสนใจและคิดหาวิธีแก้ไขจนกว่าจะสำเร็จให้ได้
ยกตัวอย่างเช่น บิลล์ เกตส์ ในสมัยที่ยังเป็นนักเขียนโปรแกรมหนุ่ม เป็นที่รู้กันดีว่าเขามักจะนั่งทำงานจนฟุบหลับหน้าคอมพิวเตอร์เสมอ และก็ทำงานต่อได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากสะดุ้งตื่น นอกจากนี้ยังมี
นิค วู้ดแมน CEO ของบริษัท GoPro ผู้หมกมุ่นกับความใฝ่ฝันจะพัฒนาคุณภาพการบันทึกวิดีโอการเล่นเซิร์ฟและใช้เวลาเฝ้าทดลองอย่างจริงจังหลายต่อหลายเดือน
ดรูว์ ฮูสตัน ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Dropbox อธิบายคุณลักษณะดังกล่าวได้เป็นอย่างดี โดยเอาไปเปรียบกับลูกเทนนิส “ลูกเทนนิสก็เหมือนกับการค้นหาสิ่งที่คุณคลั่งไคล้นั่นแหละ” เขากล่าว “ผู้ประกอบการและคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ที่ผมรู้จักน่ะคลั่งไคล้และหมกมุ่นกับการแก้ปัญหาที่สำคัญต่อพวกเขามากๆ แล้วที่เปรียบเทียบอย่างนี้ก็เพราะ ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ผมโยนลูกเทนนิสใส่สุนัขของผม มันจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นคลั่งไคล้ในลูกเทนนิสนั่นทันที”
แล้วคุณล่ะ มีความรู้สึกตื่นเต้นหรือคลั่งไคล้อะไรบ้างไหมเวลาเจอกับปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้?

5. คุณเป็นนักเล่าเรื่องชวนฟัง

ในเมื่อสิ่งที่คุณอยากทำคือธุรกิจไม่ใช่รายการทีวียอดฮิต แล้วทำไมการเล่าเรื่องเก่งถึงสำคัญนักต่อการเป็น CEO ที่ประสบความสำเร็จล่ะ? คำตอบก็คือ เพราะว่ามนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้เหตุผล (พบเห็นได้ง่ายๆ ตามวงคุยถกเถียงเรื่องการเมือง) ดังนั้นคุณจึงต้องดึงดูดให้ผู้คนมีอารมณ์ร่วมให้ได้ถ้าอยากโน้มน้าวหรือเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขา
“เหล่า CEO ต้องจัดการกับความขัดแย้งระหว่างหลายกลุ่มผู้ร่วมผลประโยชน์” สคอเบิลกล่าว “บ่อยครั้งที่ความต้องการของลูกค้าไม่ตรงกับนักลงทุน เพราะฉะนั้น CEO ที่ดีจึงต้องมีความสามารถในการโน้มน้าวให้คนอื่นเห็นด้วยกับตนเอง หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขาไปเลย”

Source : Business Insider

22 ธันวาคม 2559

8 สาเหตุว่าทำไม “คนรักสันโดษ” ถึงมักฉลาดและแกร่งกว่าใครๆ



ในปัจจุบันสังคมได้มีส่วนทำให้คนเราต้องใช้เวลาอยู่ร่วมกับผู้อื่นมากขึ้น แม้แต่เวลาที่เราอยู่คนเดียว เราก็ยังคงส่งข้อความ หรือแม้แต่วิดีโอคอลล์หากัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการใช้เวลาอยู่กับตัวเองนั้นมีประโยชน์และข้อดีแฝงอยู่มากมายเพียงแค่คุณยังไม่รู้เท่านั้นเอง
การปลีกตัวเองออกมาอยู่คนเดียว มักไม่ใช่สิ่งที่คนในสังคมยอมรับกันนัก เพราะหลายต่อหลายครั้งคนในสังคมจะมองคนเหล่านี้ว่าเป็นคนสันโดษหรืออาจมีภาวะซึมเศร้า แต่ก็มีบางคนที่รู้สึกพอใจกับการใช้เวลาอยู่คนเดียวและชอบอยู่กับตัวเอง ซึ่งตามหลักจิตวิทยาแล้วมันมีประโยชน์ต่อพวกเขาจริงๆ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ได้ปลดปล่อยกายและใจให้ได้ผ่อนคลายนั้นเอง

1. การใช้เวลาอยู่กับตัวเองทำให้คุณมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

ในช่วงเวลาที่จำเป็นต้องตัดสินใจ คนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองมักจะคอยหวังพึ่งคนอื่นอยู่เสมอ การได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองจะช่วยให้คุณรู้จักตัดสินใจทำอะไรได้ด้วยตนเอง และช่วยเปิดโอกาสให้คุณได้โฟกัสอยู่กับความคิดของคุณเอง ไม่สนใจหรือวอกแวกไปกับความคิดของใครๆ ดังนั้น คุณจึงมีเวลาและโอกาสมากมายให้ได้ลองคิด ชั่งใจ และตัดสินใจได้ด้วยตัวของคุณเอง ซึ่งการกระทำเหล่านี้จะทำให้คุณรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

2. การใช้เวลาอยู่กับตัวเองช่วยเพิ่มศักยภาพในตัวคุณ

เวลาที่มีผู้คนอยู่รายล้อมรอบตัวเรา เรามักเกิดอาการไขว้เขวไปต่างๆ นาๆ แต่พอเมื่อเราได้อยู่คนเดียว ได้อยู่กับตัวเองแล้ว เรากลับมีโอกาสได้นึกถึงสิ่งต่างๆ ที่สำคัญในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น การงาน ครอบครัว หรือเรื่องเงินๆ ทองๆ ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าการใช้เวลาอยู่กับตัวเองจะช่วยทำให้เราสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับเป้าหมายของเราได้ดีขึ้น แถมยังทำให้เรามีแรงบันดาลใจที่จะพิชิตเป้าหมายของตัวเองมากขึ้นด้วย

3. การใช้เวลาอยู่กับตัวเองช่วยเสริมทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์

ทุกคนล้วนมีความคิดสร้างสรรค์ในด้านต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไป แต่เมื่อไหร่ที่เราถูกรายล้อมด้วยผู้คน เราก็มักจะทำเลียนแบบตามคนอื่นๆ แต่พอเราได้ใช้เวลากับตัวเองแล้ว กลับสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ใจเราต้องการ บางคนก็สนุกกับการวาดรูป บางคนเพลิดเพลินกับการเข้าครัว การอ่าน การเขียน หรือแม้แต่เล่นดนตรี จะเห็นได้ว่าคนเรามีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไป การได้อยู่กับตัวเองนี่แหละที่จะทำให้เรามีโอกาสได้ค้นหาสิ่งที่สนใจ และได้ค้นพบความสามารถของตัวเองด้วย

4. การใช้เวลาอยู่กับตัวเองช่วยให้คุณสบายใจ

ในสังคมเราเต็มไปด้วยเรื่องราวสารพัดปัญหามากมาย และบ่อยครั้งที่เรามักจะเก็บปัญหาเหล่านี้กลับมาคิด เก็บมันมาใส่ใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำงาน เรื่องบนโลกโซเชียล หรือแม้แต่เรื่องเพื่อนก็ตาม ซึ่งบางครั้งเราจำเป็นที่จะต้องปล่อยวางเรื่องต่าง ๆ ลงบ้าง เพื่อหันมาโฟกัสชีวิตของตัวเองให้มากขึ้น ดังนั้น การปลีกตัวเองออกมาจากปัญหา และใช้ช่วงเวลาที่มีอยู่เพื่อตัวเอง สามารถช่วยให้เรารู้สึกสุขกายสบายใจขึ้น และผ่อนคลายมากขึ้น

5. การใช้เวลาอยู่กับตัวเองช่วยให้แก้ปัญหาได้ดีขึ้น

ทางออกที่ดีที่สุดมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เราได้อยู่กับตัวเอง สังเกตุได้จากเวลาเราทำงาน เมื่อเราทำงานในสภาพแวดล้อมที่เงียบ ไม่มีสิ่งรบกวนใดๆ เรามักจะทำงานได้ดีและรวดเร็วกว่า ดังนั้นแล้วการได้อยู่กับตัวเองจึงสามารถช่วยให้เราสามารถแก้ไขปัญหาได้ดียิ่งขึ้น

6. การใช้เวลาอยู่กับตัวเองช่วยให้คุณทำงานลุล่วงไปได้

หลายคนมักจดลิสต์สิ่งที่ตัวเองต้องทำอยู่บ่อยๆ แต่น้อยคนนักที่จะทำสิ่งเหล่านั้นได้จริงๆ ในเวลาที่อยู่กับผู้อื่น แต่พอได้มีเวลาอยู่กับตัวเองสักพักแล้ว กลับทำให้งานสำเร็จลุล่วงได้อย่างสบายๆ เนื่องจากไม่ถูกรบกวนจากคนรอบข้าง หรือไม่มีอะไรมาดึงดูดความสนใจของเราไปนั่นเอง แม้ว่าจะไม่รู้สึกสนุกกับมันมากนักที่ไม่มีคู่หูเพื่อนซี้อยู่ข้างกาย แต่คุณจะรู้สึกดีอย่างแน่นอนเมื่อคุณทำงานสำเร็จ

7. การใช้เวลาอยู่กับตัวเองจะช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล

ในทุกวันนี้ หลายคนประสบปัญหาจากความเครียดและความวิตกกังวลกันมากขึ้น ซึ่งการให้เวลากับตัวเองและปรึกษาตัวเราเองนี่แหละ ที่สามารถช่วยลดความเครียดและปล่อยวางเรื่องต่างๆ ลงได้ แถมไม่ต้องมาเสียเวลาตั้งมากมายเพื่อนั่งฟังสารพัดปัญหาของคนอื่น

8. การใช้เวลาอยู่กับตัวเองทำให้คุณเป็นตัวของตัวเอง

หนึ่งในประโยชน์หลักๆ ของการอยู่คนเดียวก็คือ การที่เราได้เป็นตัวของตัวเอง เพราะช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่เราสามารถให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราสนใจจริง ๆ ได้ดีที่สุด ได้ปรึกษาตัวเองเกี่ยวกับปัญหาที่เจอ รวมไปถึงสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข มันเป็นสิ่งที่จะทำให้เราได้รู้จักตัวเองได้มากยิ่งขึ้น ได้รักตัวของเราเอง และที่สำคัญก็คือ ได้ทำในสิ่งที่เราต้องการจะทำ

Source : lifehack

16 ธันวาคม 2559

4 วิธีสร้าง “ทัศนคติที่ดี” แม้ในยามที่คุณต้องเผชิญกับความเครียด

ในช่วงชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่ เรามักจะพบเรื่องราวบางเรื่องที่ท้าทายและยากจะฟันฝ่ามันไปได้ บางครั้งก็เป็นเรื่องที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเรียนรู้ที่จะจัดการกับความเครียดและสร้างทัศนคติที่ดีเวลาเผชิญความท้าทายต่างๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สามารถช่วยทำให้ชีวิตคุณสามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้
จะเห็นได้ว่า ความสำเร็จมากมายที่เกิดขึ้นทั้งจากตัวเราและผู้อื่น มักมาจากการมีทัศนคติและการมองโลกในแง่ดีทั้งนั้น ซึ่งหนึ่งในคุณลักษณะที่เป็นตัวอย่างที่ดีในสังคมเราก็อย่างเช่น การรู้จักเรียนรู้และยอมรับกับความล้มเหลว ว่ามันเป็นเพียงเหตุสุดวิสัยและเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้เสมอ การเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและก้าวผ่านมันไปให้ได้เป็นเรื่องที่สำคัญกว่า
เวลาที่เรารู้สึกผิดหวังหรือล้มเหลวขึ้นมา หรือ สิ่งที่เราหวังไว้ไม่ได้ดั่งใจ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่คนเราจะต้องรู้สึกผิดหวังเสียใจ แต่อย่างไรก็ตาม เราจะพบว่าสิ่งเหล่านั้นมักไม่จีรังยั่งยืนนักหรอก เมื่อเวลาผ่านไป มันก็จะค่อยๆ เลือนหายไปได้เอง

การจัดการกับความเครียดด้วยการคิดบวก

คนที่คิดบวกหรือมองโลกในแง่ดีนั้น มักจะมีวิธีในการทำให้ตนเองสามารถก้าวผ่านสถานการณ์ยาก ๆ ไปได้ โดยพวกเขามักจัดการกับสิ่งเหล่านี้อย่างรวดเร็ว และคิดไว้เสมอว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่นานก็จะผ่านไป สิ่งที่พบเจอมามันก็เป็นแค่เรื่องชั่วคราว
บางครั้งอาจดูเหมือนว่าคนคิดบวกมักทำอะไร ๆ ก็ดีไปเสียทุกอย่าง แต่แท้จริงแล้วพวกเขาเพียงแค่มีวิธีคิดที่ดีและมีวิธีจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้นได้ดีต่างหากล่ะ แน่นอนว่ามันก็ขึ้นอยู่กับจิตใต้สำนึกของคุณเองด้วย ถ้าคุณคิดแบบไหนคุณก็จะเป็นคนแบบนั้น หากคุณชอบคิดบวก คุณก็จะเป็นคนมีทัศนคติและอารมณ์เป็นไปในเชิงบวก แต่หากคุณชอบคิดลบ คุณก็มักจะถูกดึงเข้าหาสถานการณ์แย่ ๆ อยู่เสมอนั่นเอง
ดังนั้น ความคิดและความรู้สึกของเรา จึงส่งผลอย่างมากต่อการกระทำและการแสดงออกของเรา เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเป็นคนชอบคิดบวก คุณจะกลายเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์และเริ่มที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้บรรลุเป้าหมายได้ดีขึ้น แถมเร็วขึ้นด้วย

เปลี่ยนคำพูดลบๆ ให้กลายเป็นบวกดูสิ

เริ่มต้นด้วยวิธีการที่คุณมักพูดกับตัวเองเวลาที่เจอ “ปัญหา” ให้คุณลองเปลี่ยนคำพูดแง่ลบนี้ให้กลายเป็นคำพูดในแง่บวกดู ด้วย 3 คำง่ายๆ ดังนี้

1. สถานการณ์

แทนที่จะใช้คำว่า “ปัญหา” ลองให้คุณหันมาใช้คำว่า “สถานการณ์” ดูบ้าง
เพราะคำว่าปัญหา มันคล้ายกับสิ่งที่คุณจะต้องพบเจออยู่เรื่อย ๆ แต่หากลองเปลี่ยนมาใช้คำว่าสถานการณ์ คุณจะรู้สึกว่าสิ่งที่คุณเจออยู่นี้ อีกไม่นานมันก็จะต้องผ่านพ้นไป

2. ท้าทาย

จะดีกว่าไหมถ้าจะใช้คำว่า ท้าทาย แทนคำว่า ยาก
อย่างเวลาที่คุณพบเจอกับปัญหาที่ยากจะแก้ไข หรือสิ่งที่ยากลำบาก แค่ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ มองความยากลำบากให้เป็นเรื่องที่ท้าทาย แล้วต่อสู้กับมัน เปลี่ยนจาก “ฉันกำลังมีปัญหาที่ยากจะแก้ไข”  กลายมาเป็น “ฉันกำลังมีเรื่องที่ท้าทายต้องเผชิญ” การท้าทายสิ่งที่ยากลำบาก ล้วนเป็นการคิดบวกที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะมันทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นและมีกำลังใจมากขึ้นกว่าเดิมด้วย

3. โอกาส

และคำที่ดีที่สุดที่ควรใช้เมื่อเจอกับ ปัญหา ก็คือคำว่า  “โอกาส”
เวลาที่คุณเจอกับสิ่งที่ยากลำบาก แทนที่คุณจะพูดว่า “ฉันกำลังเผชิญกับปัญหา”  ลองเปลี่ยนมาพูดว่า “ฉันกำลังเผชิญกับโอกาสที่คาดไม่ถึง”
คุณคงสงสัยว่าโอกาสมันเกี่ยวอะไร? คำตอบก็คือ “ปัญหา” ก็เปรียบเหมือนโอกาสที่คุณจะได้พบเจอกับบทเรียนอันล้ำค่าและหาไม่ได้จากที่ไหนแล้วยังไงล่ะ โดยมีเพียงคุณเท่านั้นที่ได้รับโอกาสพิเศษนี้ เห็นไหมว่าแค่เปลี่ยนวิธีคิดชีวิตก็เปลี่ยนแล้ว!

4 แนวคิดดีๆ ในการจัดการความเครียด

และนี่ก็คือแนวคิดดีๆ ทั้ง 4 แบบ ที่ช่วยให้คุณสามารถจัดการกับความเครียดและมีทัศนคติที่ดีขึ้นได้

1. ก้าวข้ามปัญหาด้วยการคิดบวก

อันดับแรกเมื่อคุณพบเจอปัญหาหรือความยากลำบากที่ต้องเผชิญ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม อย่าให้ปัญหาเหล่านั้นฉุดคุณลงเด็ดขาด คุณต้องพยายามแก้ไขมันไปเรื่อยๆ แล้วคุณจะพบว่าปัญหาอันตึงเครียดนั้นจะค่อยๆ คลายลง และทำให้คุณมีมุมมองเชิงบวกต่อปัญหานั้นมากขึ้น ขอเพียงแค่หายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลายตนเอง แล้วมองหาแต่สิ่งดี ๆ เข้าไว้

2. พูดสิ่งดีๆ กับตัวเอง

ต่อมาให้ขจัดความคิดแง่ลบหรืออารมณที่ไม่ค่อยดีของคุณ ด้วยการพูดสิ่งดี ๆ กับตัวเอง ไม่วาจะพูดในใจ หรือพูดมันออกมาดัง ๆ ก็ตาม เช่น “ฉันทำได้ ฉันยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว”  หรือเวลาเข้างานก็อาจพูดกับตัวเองว่า “ฉันชอบในสิ่งที่ฉันเป็น และฉันรักงานที่ฉันทำ!”
จากความสัมพันธ์ระหว่างความคิดและการแสดงออก เมื่อใดที่คุณชื่นชมตัวเองบ่อยๆ มันจะเริ่มเข้าไปในจิตใต้สำนึกของคุณ แล้วจึงค่อยๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งในบุคคลิกภาพของคุณในที่สุด

3. เป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะแกร่งขึ้นได้โดยไม่พบเจออุปสรรค

จงจำไว้เลยว่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเราจะพัฒนาตนเองและเติบโตขึ้นจนประสบผลสำเร็จ โดยที่ไม่พบเจอกับอุปสรรคใด ๆ เลย
คุณต้องรู้จักที่จะฝึกจัดการกับความเครียดและก้าวข้ามอุปสรรคยาก ๆ ไปให้ได้ ด้วยการเปิดใจยอมรับมันเข้ามา แล้วจึงมองหาสิ่งดี ๆ ที่แฝงอยู่ในอุปสรรคที่คุณกำลังเผชิญ

4. จงก้าวไปข้างหน้า เพื่อเป้าหมายและความฝันของคุณ

ข้อสุดท้าย จงบอกกับตัวเองเสมอว่า อุปสรรคที่คุณกำลังเผชิญอยู่นี้ ล้วนเป็นสิ่งที่คุณต้องก้าวข้ามไปให้ได้ เพื่อที่จะนำไปสู่เป้าหมายที่แท้จริงของคุณ และเมื่อไหร่ที่พบเจอกับความล้มเหลว จงให้กำลังใจตัวเองเสมอว่า “ฉันเชื่อว่าทุกอุปสรรคยากๆ ล้วนมอบผลลัพท์อันยอดเยี่ยมให้กับฉันเสมอ”
การฝึกตัวเองให้เป็นคนที่คิดบวกอยู่เสมอ จะช่วยให้คุณเป็นคนที่มีทัศนคติที่ดีต่อปัญหาอุปสรรคที่ผ่านเข้ามา และทำให้คุณได้มองว่า ทุกความผิดพลาดล้วนเป็นโอกาสที่จะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้นได้ ที่สำคัญไปกว่านั้น ยิ่งคุณมีพลังบวกในใจมากเท่าไหร่ คนรอบข้างคุณก็จะยิ่งได้รับพลังบวกเหล่านั้นจากคุณไปด้วยเช่นกัน

Source : Entrepreneur

03 ธันวาคม 2559

5 วิธีคิด กำจัด “ความวิตกกังวล” ของคุณอย่างได้ผล



เวลาคนเราได้ยินคำว่า วิตกกังวล มักจะนึกถึงเรื่องจำพวก การขึ้นแสดงบนเวที การกล่าวสุนทรพจน์ การยิงจุดโทษ หรือแม้แต่เรื่องการมีเซ็กซ์ ความรู้สึกวิตกกังวล มันสามารถส่งผลเสียกับงานนั้น ๆ ที่คุณทำอยู่ได้ ยกตัวอย่างเช่น การขึ้นไปพูดบนเวที ที่มีสายตานับร้อยจ้องมองมาที่คุณ ทั้ง ๆ ที่คุณเตรียมบทพูดมาอย่างดีแล้ว แต่พอคุณก้าวขึ้นไปบนเวทีคุณกลับรู้สึกวิตกกังวล ถึงมันจะเป็นความรู้สึกเพียงไม่กี่วินาที แต่มันก็สามารถทำให้คุณเสียสมาธิไปกับการพูดได้
pupils-school-children-red-scarf-159671
ทุกคนในโลกล้วนต้องเคยรู้สึกวิตกกังวลกันทั้งนั้น บางคนปล่อยให้ความวิตกกังวลกลืนกินจนส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต สุขภาพร่างกาย ชีวิตการงาน เพื่อนฝูง และครอบครัว แต่ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่รู้วิธีรับมือกับความวิตกกังวลอย่างชาญฉลาด แล้วคนกลุ่มนี้เขามีเทคนิคอย่างไรรึ? หากคุณรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนวิตกกังวลเกินไป 5 แนวคิดต่อไปนี้จะช่วยให้คุณจัดการกับความวิตกกังวลอย่างได้ผล

1. อย่าผูกคุณค่าของคุณไว้กับผลลัพท์

ถ้าหากคุณเป็นคนที่มักจะตีคุณค่าของตัวเองจากผลลัพท์ของสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ ให้เลิกซะเถอะ เพราะคุณมีคุณค่ากว่านั้นมาก

2. กล้าเผชิญหน้ากับความรู้สึก

รู้สึกกลัว รู้สึกน่าสมเพช รู้สึกอาย ล้วนแล้วแต่เป็นความรู้สึกที่ใคร ๆ ก็ต้องเคย กล้าเผชิญหน้ากับความรู้สึกเหล่านี้สิ และจงเชื่อว่า ต่อให้คุณรู้สึกกลัว รู้สึกน่าสมเพช หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่คุณก็ยังสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม
เพียงกล้าเปิดใจยอมรับความรู้สึกแย่ ๆ เหล่านี้ เพราะยิ่งคุณต่อต้านความรู้สึกของตัวเองเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้คุณรู้สึกวิตกกังวล

3. เชื่อในศักยภาพของตนเอง

อย่าด่วนตัดสินใจหลีกเลี่ยงงานหรือสถานการณ์ที่คุณมักรู้สึกว่า มันไม่เหมาะกับคุณ หรือ คุณไม่สามารถทำมันได้หรอก เพราะการกลัวสื่งที่ไม่รู้ มันจะทำให้คุณไม่รู้ไปตลอด
จงเชื่อในศักยภาพของตัวเอง แล้วให้ลองคิดว่า ดีเสียอีกที่จะได้เรียนรู้วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และได้รับประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น

4. การจัดลำดับความสำคัญ

วางแผน
หลายคนตัดสินใจเลือกทำงานที่ชอบและง่ายก่อนเป็นอันดับต้น ๆ แล้วเก็บงานที่ไม่ชอบไว้ทำตอนท้าย ๆ คุณจะตกอยู่ในวงโคจรของสิ่งที่ไม่ชอบต่อไปเรื่อย ๆ และก่อนิสัยผลัดวันประกันพรุ่งให้กับตัวเอง
ลองเปลี่ยนมาเป็น เริ่มทำงานชิ้นที่คุณไม่ชอบก่อนในตอนเช้าของวัน เพราะช่วงเช้าเป็นช่วงที่คุณยังกำลังสดชื่น และมีพลัง สมองทำงานได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังช่วยให้คุณไม่ต้องรู้สึกหนื่อยหน่ายกับงานยาก ๆ ที่กองตั้งไว้ตลอดทั้งวัน

5. จงมีสัจจะ และความรับผิดชอบ

โอบาม่า
สองสิ่งนี้สำคัญมากสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับคนอื่น และการทำงานเป็นทีม หากคุณขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป ความเชื่อมั่นในตัวคุณ ทั้งจากผู้อื่นและจากตัวเองก็จะลดน้อยลง จนในที่สุดคุณก็จะกลายเป็นจุดอ่อนของทีม จงเป็นคนรักษาคำพูดและรับผิดชอบในหน้าที่การงาน

Source : Inc

01 ธันวาคม 2559

10 แนวคิดดี ๆ ในการสร้างตัวให้กลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน


การจะสร้างเนื้อสร้างตัวให้เติบโตเป็นเศรษฐีเงินล้านได้นั้น แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงอย่างนั้น ผู้ที่เคยผ่านจุดที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จมาแล้ว ขั้นตอนที่ไปสู่จุดนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ ขอเพียงทำตามกฎและคำแนะนำต่าง ๆ ที่มีการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยปั้นมืออาชีพมาได้ ถ้าหากคุณมีความตั้งใจที่จะประสบความสำเร็จในฐานะเศรษฐีเงินล้านคนหนึ่งล่ะก็ แนวคิดที่กำลังจะนำเสนอต่อไปนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรเพิกเฉยเลยทีเดียว

1. ทำทุกอย่างให้เป็นการแข่งขัน

ทำงาน
ถ้าลองได้ถามเศรษฐีผู้สร้างฐานะขึ้นมาเองกับมือว่า อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาตัดสินใจก้าวเข้ามาสู่เส้นทางนี้ แน่นอนว่าคำตอบส่วนใหญ่ของพวกเขาจะไม่ใช่ “เพื่อสร้างเงินล้าน” แน่ ๆ เนื่องจากสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้คนเหล่านี้ มักจะเป็นเรื่องราวของการตามล่าความฝันของตัวเอง จนกระทั่งก้าวไปสู่ในจุดที่เรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จในแบบฉบับของพวกเขานั่นเอง

2. ไม่นิ่งนอนใจ

ต่อให้ปีนขึ้นไปถึงจุดที่สูงสุดในชีวิต ก็ไม่ควรจะหยุดคิดว่า “เอาล่ะ! เท่านี้ก็พอแล้ว หยุดพักงานได้!” เพราะถึงแม้คุณจะทำเงินล้านได้แล้ว ก็ใช่ว่าจะเงินทองจะไม่หายไป ดังนั้นอย่าได้นิ่งนอนใจไป คุณควรตั้งเป้าหมายใหม่อีกครั้ง เพื่อสร้างชีวิตที่ดียิ่งขึ้นต่อไป

3. เรียนรู้ให้มาก ทำงานให้หนักกว่าใครๆ

เรียนรู้
ต่อคุณให้มีพรสวรรค์สูงเทียมฟ้า หรือจะเก่งกล้ามาจากไหน คุณก็ไม่มีทางไปถึงฝั่งฝันได้หากคุณไม่ยอมไขว่คว้าหาความรู้และมุ่งมั่นตั้งใจทำงานอย่างหนัก กล่าวคือ การจะเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จได้นั้น ยังไงก็ต้องผ่านถนนแห่งความสุดแสนลำบากยากทนไปให้ได้เสียก่อน

4. ให้ความผิดพลาดเป็นบทเรียน

ชีวิตกับความผิดพลาดเป็นของคู่กัน วันหนึ่งวันใดยังไงก็ต้องมีพลาดมีล้มกันบ้าง ประเด็นคือ ถ้าล้มให้เป็นก็จะมองเห็นความสำเร็จได้ไม่ยาก หากว่าล้มขึ้นมา อย่าได้สิ้นหวังหรือตีอกชกตัวไป ให้ พิจารณาความล้มเหลวนั้น แล้วเรียนรู้จากปัญหาว่าเพราะเหตุใดถึงได้พลั้งพลาด ปัดความเศร้าทิ้งไปแล้วลุกขึ้นเดินใหม่อย่างสง่างามจะดีกว่า

5. อ่านหนังสือทุกวันอย่างสม่ำเสมอ

หนังสือ
จะกล่าวขานสรรพคุณของการอ่านอย่างไรก็คงไม่มีวันหมด บอกได้เพียงว่า ขอให้อ่านทุกเวลาที่มีโอกาส อย่าได้ละทิ้งการอ่านไป หรือหาเรื่องราวน่าสนใจใหม่ ๆ มาอ่าน จะได้ตื่นตัวตามยุคตามสมัยให้ทัน เพราะการเปลี่ยนแปลงมักเกิดขึ้นอย่างลับ ๆ และฉับพลันชั่วพริบตาเสมอ หากยังคุณยังมองหาหนังสือดี ๆ อ่านไม่ได้ ทางทีมงานประสบความสำเร็จได้รวบรวมไว้ให้แล้วใน 10 หนังสือน่าอ่าน ที่จะช่วยส่งเสริมให้คุณประสบความสำเร็จในชีวิต

6. รักษาสุขภาพกายและจิตใจให้ดี

การออกกำลังกายและฝึกฝนจิตใจให้มีสุขภาพที่ดีเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการประสบความสำเร็จเลยก็ว่าได้ อย่าลืมออกกำลังกายให้เป็นประจำและสม่ำเสมอ ทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ โดยไม่ลืมการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอด้วยนะ

7. ใกล้ชิดกับคนที่ฝักใฝ่ความสำเร็จคล้ายๆ กับคุณ

ทีม-เพื่อน
การคบค้าสมาคมกับผู้คนบางประเภทอาจส่งผลเสียต่อคุณได้อย่างคาดไม่ถึง อย่าลืมเหลียวซ้ายแลขวา ดูให้แน่ใจว่าผู้คนรอบ ๆ ต่างมีความคิดเห็นหรือเป้าหมายใกล้เคียงกัน ได้รับแรงบันดาลใจและฝักใฝ่ในการไปสู่ความสำเร็จแบบเดียวกับคุณ เนื่องจากการอยู่กับผู้คนที่มีความตั้งใจเหมือนกันจะช่วยเป็นแรงผลักดันและสร้างความมุ่งมั่นได้อย่างดีเยี่ยม พยายามหลีกเลี่ยงบุคคลที่ไม่ค่อยเอาการเอางาน เพราะผู้ที่ดีแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ นั้นจะไม่ช่วยพาคุณไปถึงฝันอย่างแน่นอน

8. ตั้งตนเป็นผู้ให้ ดูแลใส่ใจคนที่รัก

ก่อนหน้านี้พูดถึงการดูแลสุขภาพกายและใจของตนเองไปแล้ว แต่ก็ยังไม่แคล้วต้องห่วงสุขภาพจิตเสียบ้าง อย่าได้ละเลยโลกใบเล็กที่หมุนเวียนวนอยู่รอบตนเอง เพราะยังมีคนอีกมากที่อาจต้องการความช่วยเหลือ ที่สำคัญคืออย่าลืมใส่ใจดูแลคนที่รักให้ดี เพราะชีวิตที่ประสบความสำเร็จจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อได้มีความสุขไปพร้อมๆ กับคนที่รักเท่านั้น หรืออาจจะบริจาคสิ่งของแก่ผู้ยากไร้ที่ต้องการการหยิบยื่นโอกาสให้ รับรองว่าจะช่วยปรับเปลี่ยนมุมมองรวมถึงพื้นฐานความคิดในการทำงานไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

9. ทำตนให้ซื่อสัตย์และโปร่งใส

การโกหกตลบแตลงไม่เคยพาใครไปสู่ฝั่งฝัน ดังนั้น ขอให้ยึดมั่นกับความซื่อสัตย์ ซื่อตรง และโปร่งใสไว้เสมอ แม้จะฟังดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่กลับเป็นข้อปฏิบัติที่สำคัญหาใดเปรียบ เนื่องจากมันจะนำไปสู่การเป็นผู้ประสบความสำเร็จอย่างมืออาชีพในระยะยาว

10. มองการณ์ไกล มากกว่าใฝ่ ผลระยะสั้น

แผนที่
ผู้คนส่วนใหญ่มักให้ความสนใจกับความสำเร็จระยะสั้นไว้ก่อน เช่นว่า “ฉันอยากจะมีเงินเท่านั้นเท่านี้ภายในปีหน้า” แต่อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญกว่า ก็คือการให้มองภาพรวมใหญ่ ๆ ไว้ด้วย วาดภาพเลยว่าอยากจะให้ทั้งชีวิตออกมาแบบไหน เนื่องจากเป้าหมายระยะยาวนั้นสามารถเป็นแรงผลักดันให้ใครต่อใครก้าวไปสู่จุดที่จะรู้สึกพึงพอใจอย่างแท้จริง รวมถึงสามารถก่อร่างสร้างสิ่งที่เป็นความสำเร็จครั้งใหญ่แก่ชีวิตและครอบครัวได้
เป็นเรื่องแน่นอนที่ระหว่างทางในการสร้างตัวสร้างตนให้เป็นมหาเศรษฐีเงินล้านนั้น จะต้องประสบพบเจอกับอุปสรรคนานัปการ แต่หากว่าสามารถทำตามข้อแนะนำเหล่านี้ได้ ในขณะเดียวกันก็หมั่นเรียนรู้จากความสำเร็จของนักล่าฝันคนอื่น ๆ ล่ะก็ รับรองว่าคุณจะมีอาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมสรรพไว้เตรียมรับมือกับปัญหาต่าง ๆ และพาตัวเองไปถึงเป้าหมายเงินล้านได้อย่างที่คาดไว้แน่นอน
Source : Entrepreneur