29 กันยายน 2559

10 ลักษณะนิสัยที่จะทำให้คุณกลายเป็นเศรษฐี



ไม่มีผู้นำคนไหนที่สามารถประสบความสำเร็จได้โดยปราศจากการมีระเบียบวินัย พวกเขาคือคนที่ตั้งใจมุ่งมั่นและไม่สนใจแค่ความสุขระยะสั้นๆ พวกเขาสนใจความประสบความสำเร็จในระยะยาว แน่นอนว่าระเบียบวินัยเหล่านี้พอนานวันเข้าจะแปรเปลี่ยนเป็นนิสัย นิสัยของคนเราสามารถเปลี่ยนทิศทางชีวิตของเราได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ไม่ว่าคุณจะมาจากไหน นิสัยของคุณสามารถพาคุณไปในเส้นทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ ไปพบกับ 10 นิสัยที่จะทำให้คุณกลายเป็นเศรษฐีกันเลย!

ศึกษาหาความรู้

นักอ่าน
ก่อนอื่นคุณไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านไปวันๆ โดยปราศจากการเรียนรู้ การเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านพจนานุกรม อ่านหนังสือ ดูวีดีโอ เขียนบทวิจารณ์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ฯลฯ จากวิธีต่างๆ เหล่านี้
“การอ่านเป็นสิ่งสำคัญที่สุด” มีคำตอบทั้งหมดอยู่ในหนังสือ ดังคำกล่าวที่ว่า
“หนังสือเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด”
― THOMAS CARLYLE

ตั้งเป้าหมาย

เป้าหมาย
ในทุกๆ วันคุณควรตั้งเป้าหมายประจำวันและบันทึกมันลงในสมุดบันทึก เขียนทุกสิ่งที่คุณต้องการจะประสบความสำเร็จทั้งในรอบเดือน รอบปี และรอบ 10 ปีข้างหน้า วิธีนี้จะช่วยให้เรามีความคิดที่ใหญ่ขึ้น และมองเห็นภาพรวมช่วยให้ก้าวข้ามปัญหาเล็กๆ ในชีวิตไปได้ สมมุติคุณมีเป้าหมายที่จะใช้ชีวิตหรูหราในอีก 10 ปีข้างหน้า ถ้าคุณต้องการที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ คุณจะต้องลิสต์ไอเดียที่สอดคล้องกับเป้าหมายของคุณ เช่น ต้องการที่จะมีเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว คฤหาสน์ 10 ห้องนอน เชฟส่วนตัว ฯลฯ เมื่อคุณคิดไอเดียเหล่านี้ขึ้นมาแล้ว คุณก็จะตื่นเต้นกับชีวิตที่คุณกำลังจะมุ่งไป
“ถ้าคุณกล้าคิดและเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่าคุณทำได้ คุณก็จะทำมันได้”

วางแผน

photo-1432888498266-38ffec3eaf0a
คุณสามารถตั้งเป้าหมายได้ไม่สิ้นสุด แต่คุณจะต้องวางแผนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้วย เริ่มแรกคุณจะต้องแตกเป้าหมาย 10 ปีข้างหน้า เป็นรายปี รายเดือน รายสัปดาห์ และรายวัน เมื่อแตกเป้าหมายแล้ว คุณจะเกิดไอเดียเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้นและหนทางพิชิตเป้าหมายที่วางไว้ ตัวอย่างเช่น ชายคนหนึ่งมีเป้าหมายที่จะเป็นวิทยากรมืออาชีพ ถ้าเขากล่าวสุนทรพจน์ 120 หัวข้อใน 1 ปี เขาก็จะบรรลุเป้าหมายของเขา เขาแตกเป้าหมายออกเป็น 10 หัวข้อต่อเดือน คือกล่าวสุนทรพจน์ 1 หัวข้อทุกๆ 3 วัน หลังจากที่วางแผนแล้ว เขารู้สึกว่าเป้าหมายของเขามีโอกาสบรรลุผลมากยิ่งขึ้น
“จงวางแผนการทำงานของคุณ และทำตามแผนที่คุณได้วางไว้”

สร้างเครือข่ายสังคม (Network)

ผู้คน
ในสหัสวรรษใหม่นี้เรามีทางเลือกใหม่ๆ มากมายในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น สะดวกและง่ายดายมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะใช้เครื่องข่ายให้เป็นประโยชน์และมีประสิทธิภาพ คุณจะต้องเป็นผู้ผลิต ไม่ใช่ผู้บริโภค นั่นหมายถึงคุณต้องสร้างเครือข่ายเชิงรุกและไม่หยุดนิ่ง อย่ารอให้อีเมลหรือโทรศัพท์มาหาคุณ ให้คุณพยายามออกไปหาคนอื่นๆ ให้ตระหนักว่าการสร้างเครือข่ายสังคมเป็นนิสัยและจะต้องทำทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการส่งอีเมล การส่งไลน์ ส่งข้อความ ทาง Social media หรือ การโทร ก็เป็นการสร้างเครือข่ายสังคมได้ทั้งนั้น ถ้าใครยังมองไม่เห็นภาพ ลองนึกถึงเพจเฟสบุ๊ค (Facebook page) ที่มีแฟนเพจเป็นล้านคนดูสิ แล้วจะรู้ว่าการสร้างเครือข่ายสังคมมันมีประโยชน์มากแค่ไหน ให้นึกเสมอว่า…
“คนที่คุณกำลังมองหา เขาก็กำลังมองหาคุณเช่นกัน”

จดบันทึก

desktop
คนประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะใช้เวลาอย่างน้อย 1 ชม.ต่อวัน ในการคิดเพื่อที่จะคิดอย่างมีประสิทธิภาพ คุณจำเป็นต้องเขียนมันลงไปด้วย การจดบันทึกจะช่วยให้คุณจำสิ่งๆ นั้นได้ดีขึ้นหลายเท่า นอกจากนี้คุณยังสามารถจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ เช่น ไอเดียดีๆ มุขตลก บทเรียน ความสำเร็จ ความล้มเหลว และอื่นๆ อีกมากมายที่คุณคิดว่าจะมีประโยชน์แก่ตัวคุณ Daniel Ally นักลงทุนชาวอเมริกัน เขากล่าวว่า “วันๆ หนึ่งผมมักจะจดสิ่งต่างๆ ลงในโทรศัพท์มือถือได้ประมาณ 2 หน้า โน๊ตพวกนี้มันช่วยสะท้อนให้เห็นถึง ความสำเร็จ ความท้าทาย และโอกาสในชีวิตต่างๆ ที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิต นอกจากนี้การจดบันทึกไว้ยังเป็นเรื่องที่ดีต่อคนรุ่นหลังด้วย”
“ไม่สำคัญว่าคุณใช้เวลานานแค่ไหน แต่สำคัญที่ว่าคุณทุ่มเทแค่ไหนในช่วงเวลานั้น” ― ABRAHAM LINCOLN

ออกกำลังกาย

การที่คุณจะประสบความสำเร็จในชีวิต ร่างกายของคุณจะต้องมีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา เพื่อทำสิ่งที่คุณไม่คาดคิด คุณต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ วิธีที่ดีที่สุดในการเตรียมความพร้อมร่างกายก็คือ การออกกำลังกาย เมื่อร่างกายของคุณพร้อมรับมือกับโอกาสที่จะมาถึง คุณจะสามารถคว้าโอกาสนั้นได้สำเร็จ “เมื่อกายพร้อม ใจก็พร้อม” เป็นคำพูดที่หลายคนคงคุ้นหู ลองนึกสภาพตัวเองนอนป่วยอยู่บ้านแต่วันพรุ่งนี้มีพรีเซนต์งานสำคัญดูสิ คงไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตัว นอกจากนี้การออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ก็สามารถทำให้ชีวิตเรามีความสุขขึ้นด้วย ไม่เชื่อลองดู!

ผ่อนคลาย

YEc7WB6ASDydBTw6GDlF_antalya-beach-lulu
คุณควรรู้วิธีการพักผ่อนที่มีประสิทธิภาพกับตัวเอง เมื่อคุณได้รับความเครียดหรือความเหนื่อยล้า คุณจะต้องรีบกำจัดมันออกไป ถ้าคุณเหนื่อยหรือเครียดจนเกินไป คุณจะสูญเสียความมุ่งมั่น สูญเสียโฟกัส คนที่ไม่รู้วิธีการผ่อนคลายจะบั่นทอนช่วงเวลาที่มีค่าของพวกเขา ค้นหาสิ่งที่คุณทำแล้วรู้สึกผ่อนคลายที่สุด แต่สิ่งนั้นต้องไม่ทำลายสุขภาพคุณด้วย เช่น การทำอาหาร เดินเล่น ฟังเพลง หรือการคุยกับผู้อื่น ถึงแม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่งานเร่งรีบก็ตาม การผ่อนคลายจะช่วยพาเราหลบหนีออกไปจากความกังวลในชีวิต ซึ่งความกังวลจะส่งผลเสียอย่างใหญ่หลวงต่อจินตนาการและการดำเนินชีวิต

คุยกับตัวเอง

ทุกวันเราจะมีช่วงเวลาที่พูดคุยกับตัวเอง โดยเฉลี่ยแล้วมนุษย์จะพูดคุยกับตัวเองอย่างน้อย 12,000 ครั้งต่อวันความแตกต่างระหว่างผู้ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จก็คือ สิ่งที่เขาพูดกับตัวเอง สิ่งที่คุณพูดกับตัวคุณมันสามารถที่จะเปลี่ยนชีวิตของคุณได้ การพูดกับตัวเองก็เหมือนการติดตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ถ้าเราติดตั้งโปรแกรมที่มีไวรัสลงบนคอมพิวเตอร์ ก็เปรียบได้กับการใส่ความคิดแง่ลบให้กับตัวเอง ถ้าคุณใส่ความคิดที่เป็นบวก หมั่นให้กำลังใจตัวเองบ่อยๆ มันก็จะช่วยทำให้คุณประสบความสำเร็จได้

พัฒนาทักษะของคุณ

คุณจะต้องหาความสามารถพิเศษหรืองานที่ตัวเองถนัดให้เจอ แล้วจงพัฒนาความสามารถเหล่านั้นซะ แต่ละคนจะมีพรสวรรค์และความสามารถเฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป คุณจะต้องหามันให้เจอแล้วนำมันมาใช้ ถ้าคุณไม่ใช้มัน คุณก็จะสูญเสียมันไป ความชำนาญในด้านใดด้านหนึ่งอาจใช้เวลาหลายปีเพื่อฝึกฝน แต่ถ้าคุณพยายามฝึกซ้อมและพัฒนามันให้เต็มที่ คุณจะประสบความสำเร็จอย่างคาดไม่ถึง
“คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนย่อมเคยผิดพลาดมาก่อน” ― T. HARV EKER.

วางแผนและควบคุมอย่างชาญฉลาด

เศรษฐี
คนที่ประสบความสำเร็จมักจะรู้วิธีการจัดระเบียบความสัมพันธ์ที่ในชีวิต หมายความว่าเหล่าคนสนิทของเขา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือครอบครัวจะคอยสนับสนุนเขา สังเกตง่ายๆ จากกลุ่มเพื่อนสนิทของคุณ พวกเขามักจะมีความคิดคล้ายๆ คุณใช่ไหมล่ะครับ เพราะฉะนั้นจงเลือกที่จะอยู่ใกล้กับคนที่ประสบความสำเร็จ คนเหล่านี้มักจะมีความคิดใหญ่ พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงคุณให้มีความคิดใหญ่แบบพวกเขาได้
อย่างไรก็ตามมันต้องใช้ความพยายามและเวลา จงเลือกคนที่เหมาะสมอย่างรอบคอบ ท้ายที่สุดสมาชิกทีมที่คุณคัดสรรมาจะนำแต่สิ่งดีๆ มาให้คุณ และช่วยให้คุณเอาชนะปัญหาต่างๆ ที่คุณต้องเผชิญได้
นิสัยทั้งหมดเหล่านี้จำเป็นต้องมีระเบียบวินัยอย่างที่สุด เมื่อคุณทำสิ่งเหล่านี้บ่อยเข้าและนานเข้า มันก็จะกลายเป็นนิสัยของคุณไปเอง นิสัยเหล่านี้จะทำให้คุณเข้าสู่เส้นทางของความสำเร็จ ช่วยให้คุณพบกับความสำเร็จ และช่วยส่งผลลัพธ์ที่ดีให้กับคุณอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
Source : Business Insider

ติดตาม


22 กันยายน 2559

9 สัญญาณที่บ่งบอกว่า งานที่คุณทำอยู่เหมาะสมกับคุณที่สุดแล้ว



สำนักข่าว CNN เคยนำเสนอโพลของ Gallup ซึ่งเผยให้เห็นว่า โดยเฉลี่ยแล้วชาวอเมริกันเสียเวลาไปกับการทำงานถึงสัปดาห์ละ 47 ชั่วโมงเลยทีเดียว ถ้าเราต้องใช้เวลาทุ่มเทไปกับการทำงานมากขนาดนี้ งานที่ทำก็ควรจะเป็นงานที่เหมาะสมกับเราด้วย จริงไหมครับ?
การเสียเวลาทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนของคุณย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ และมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรู้ว่าสิ่งที่คุณทำอยู่นั้น ใช่ตัวตนหรือเหมาะสมกับคุณหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณยังหนุ่มยังสาว ยังด้อยประสบการณ์ ให้คุณลองอ่านข้อสังเกตเหล่านี้ดู มันจะช่วยเป็นสัญญาณบ่งบอกว่างานที่คุณทำอยู่เหมาะสมกับคุณจริงๆหรือเปล่า?

ช่วงเวลาในการทำงานช่างผ่านไปไวซะเหลือเกิน

คุณจะตกใจทุกครั้งที่คุณหันไปมองนาฬิกา เวลามักจะผ่านไปเร็วมากๆ ไม่ใช่ว่าเวลาของคุณกำลังจะหมด แต่เป็นเพราะคุณได้ทำหลายๆ อย่างสำเร็จไปแล้ว ซึ่งทำให้วันๆ หนึ่งของคุณช่างผ่านไปไวเหมือนโกหก มันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณเหมาะสมกับงานของคุณจริงๆ ดั่งประโยคที่ว่า “เวลามักจะผ่านไปเร็วเสมอ…เวลาที่เรามีความสุข

คุณกล้าที่จะเสี่ยงและท้าทายตัวเอง

ได้ทำงานอยู่ในองค์กรที่ไม่ตำหนิเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งนั่นก็มีส่วนช่วยให้พนักงานได้ลองผิดลองถูกและรู้ขีดจำกัดของตัวเอง แน่นอนว่ามันอาจจะฟังดูเสี่ยงไปในบางครั้ง แต่มันก็เป็นสัญญาณที่ดีที่บ่งบอกได้ว่าคุณกำลังอยู่ในสิ่งแวดล้อมของการทำงานที่ดีเลยทีเดียว นอกจากนั้นการได้ลองสิ่งใหม่ๆ ยังทำให้คุณพาตัวเองก้าวออกจาก comfort zone หรือพื้นที่สุขสบายได้อีกด้วย

กาแฟแทบไม่จำเป็นสำหรับคุณ

คุณอาจจะชอบแวะซื้อกาแฟสักแก้วระหว่างทางมาทำงาน แต่คุณก็ไม่ได้ต้องการมันเพื่อปลุกให้คุณตื่นตัว เพราะพลังงานทั้งหมดในตัวคุณจะได้มาจากความตื่นเต้นที่จะได้ทำงานสุดโปรดในวันนั้นๆ มากกว่า

เจ้านายคอยผลักดันคุณ

คุณอาจจะคิดว่า การมีเจ้านายที่แสนใจดีเป็นสัญญาณบอกว่าคุณกำลังได้งานที่ดี นั่นไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป เจ้านายที่ “ใจดี” จะช่วยเลี่ยงปัญหาต่างๆ ได้ดี รวมถึงปัญหาที่จะทลายทีมของเขาเองด้วย แต่เจ้านายที่ดีจะรู้ว่าเมื่อไรที่ควรจะช่วยเหลือและสนับสนุนลูกทีม และเมื่อไรควรจะผลักให้ลูกทีมสู้ด้วยตัวเอง และหากเจ้านายจัดการสิ่งเหล่านี้ได้อย่างสมดุล รู้ว่าควรช่วยเหลือและผลักดันคุณเมื่อไร อีกทั้งยังท้าทายคุณและผลักดันให้คุณได้ทำงานนั้นๆ อย่างเต็มที่ นี่แหละ คือสิ่งที่แสดงว่าคุณกำลังยืนอยู่ในจุดที่เหมาะสมแล้ว

คุณรู้สึกว่าเพื่อนร่วมงานของคุณเป็นเสมือนเพื่อนซี้

แน่นอนว่า ในการทำงานของคุณและเพื่อนร่วมงานจะต้องแข่งขันกัน และมีการผลักดันซึ่งกันและกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกคุณก็คือทีมเดียวกัน หากคุณมองว่าเพื่อนร่วมงานของคุณกลายเป็นเสมือนเพื่อนสนิทไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าคุณอยู่ในจุดที่สำคัญมากๆ เพราะคุณจะยิ่งทำงานอย่างสนุกและมีความสุขมากเลยทีเดียว

คุณมีเวลาให้คนที่คุณรัก รวมถึงตัวคุณเอง

อาชีพที่ทำลายสุขภาพ ความสัมพันธ์ส่วนตัว หรือแม้แต่สมดุลชีวิตการทำงาน ย่อมไม่ใช่อาชีพที่คุณควรจะทุ่มเทให้ แม้คุณจะบอกว่ามันเป็นอาชีพในฝันก็ตาม และมันจะเป็นอาชีพที่ใช่สำหรับคุณ ก็ต่อเมื่อมันเป็นอาชีพที่นำมาซึ่งความสำเร็จ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นอาชีพที่ให้โอกาสคุณมีเวลาได้พบปะเพื่อน ครอบครัว และได้ทำงานอดิเรกที่คุณรักร่วมด้วย

คุณไม่ได้ตั้งตารอวันหยุดสุดสัปดาห์

หลายๆ คนมักจะเกลียดวันอาทิตย์เพราะมันเป็นวันที่บ่งบอกว่าวันหยุดสุดสัปดาห์กำลังจะหมดไป ถึงแม้ว่าวันหยุดของคุณมันจะเป็นวันหยุดที่แสนพิเศษ คุณได้มีโอกาสสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ แต่ในคืนวันอาทิตย์ คุณกลับไม่ได้รู้สึกเศร้าหรือโหยหาวันหยุดเพิ่มเลย แถมอาจจะรู้สึกตื่นเต้นด้วยซ้ำที่คุณจะได้กลับไปทำงานวันรุ่งขึ้น นี่แหละเป็นสัญญาณว่าคุณสนุกไปกับชีวิตและงานที่ใช่ของคุณ

คุณจะกระตือรือร้นในเช้าวันจันทร์

คุณจะรู้สึกกระตือรือร้นและตื่นตัวเป็นพิเศษขณะทำงานในทุกๆ เช้าวันจันทร์ คุณมักจะป่วนออฟฟิศอยู่เสมอ ทุกคนอาจจะไม่ชอบนัก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะนั่นแปลว่าคุณมีความสุขที่ได้กลับมาทำงานหลังจากที่ได้หยุดพักไป

คุณจะพูดคุยเกี่ยวกับงานอยู่เสมอ

นี่ถือเป็นพฤติกรรมที่น่ารำคาญ (โดยเฉพาะเวลาที่คุณเป็นคนชอบโม้หรือเมื่อคุณเป็นนักเล่าเรื่องที่ห่วยแตก) แต่มันก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่บ่งบอกว่าคุณได้ระบายเรื่องราวดีๆ ต่างๆ เกี่ยวกับงานของคุณออกมา มันแสดงให้เห็นว่าคุณผูกพันกับงานของคุณ และอยากจะแชร์สิ่งที่ได้พบเจอมาให้กับผู้อื่นฟังยังไงล่ะ

18 กันยายน 2559

9 วิธีง่ายๆ ในการเริ่มบทสนทนากับผู้อื่นได้อย่างไร้กังวล


รู้หรือไม่? การพูดในที่สาธารณะ(Public Speaking) เป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่บอกว่าน่าหวาดกลัว นอกจากการขึ้นไปพูดบนเวทีต่อหน้าผู้ชมมากหน้าหลายตาแล้ว ก็ยังมีอีกหลายคนที่มองว่า การเริ่มบทสนทนาตัวต่อตัวกับใครสักคนเป็นเรื่องที่ยากพอๆ กัน
ไม่ว่าคุณจะอยากคุยกับ CEO ของบริษัท เพื่อนร่วมงานคนใหม่ พนักงานหนุ่มหน้าตาดี พนักงานสาวฝ่ายไอที หรือแม้แต่คนแปลกหน้าที่เจอบนท้องถนน ทางเรามีวิธีในการเริ่มต้นบทสนทนามาแนะนำ และถ้าคุณฝึกทำไปเรื่อยๆ แน่นอนว่ามันก็จะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
ลองใช้วิธีเหล่านี้ในการเริ่มพูดคุยกับผู้คนดูสิ:
ไม่คุยเรื่องสัพเพเหระ
“ทำไมวันนี้อากาศไม่ดีเลย?” หรือ “ทีม…(ชื่อทีมฟุตบอล)… เป็นไงบ้าง?” เป็นประโยคเริ่มต้นบทสนทนาที่ห่วยพอๆ กับคำพูดจีบสาวที่ทั้งเชยและเสี่ยว พยายามหลีกเลี่ยงหัวข้อที่ซ้ำซากน่าเบื่อหน่าย เพราะทุกๆ สถานการณ์มีความแตกต่างกันไป คุณจึงควรหาเรื่องคุยที่ไม่ซ้ำซากด้วยเช่นกัน
ถามความคิดเห็นของคู่สนทนา
ทุกคนย่อมมีความคิดเห็นของตัวเอง ถ้าคุณคุยกับคนที่รู้จักแบบผิวเผิน อาจจะเริ่มด้วยหัวข้อง่ายๆ เช่น อาหาร ดนตรี หรือบรรยากาศ ฯลฯ “คุณชอบดื่มกาแฟประเภทไหน?” “คุณชอบดูหนังสยองขวัญรึเปล่า?” หรือ “คุณชอบเพลงนี้ไหม?” นอกจากนี้ จะเป็นการดีกว่าหากเลี่ยงหัวข้อฮอตฮิตอย่างการเมืองไปก่อน เว้นแต่ว่าคุณจะรู้จักคู่สนทนาดีพอแล้ว
ขอคำแนะนำ
วิธีนี้ใช้ได้ผลดีมากๆ อย่างเวลาจะพูดคุยกันเกี่ยวกับเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับของอีกฝ่าย เช่น “ไทด์ของคุณสวยจังเลย ซื้อที่ไหนมาเหรอ?” หรือเรื่องอาหาร เช่น “คุณกินอะไรอยู่? ดูน่ากินมากเลย” เป็นต้น มีงานวิจัยจากจิตวิทยางานหนึ่งได้กล่าวว่า “หากคุณต้องการความเชื่อใจจากใคร ให้คุณขอความช่วยเหลือจากคนๆ นั้น”
ถามคำถามที่ตอบง่าย
เป็นวิธีที่ดีมากถ้าหากคุณรู้ว่าคู่สนทนาของคุณเก่งในเรื่องใด แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงการเริ่มต้นด้วยการถามในเรื่องที่ซับซ้อนหรือยากมากๆ เพราะคู่สนทนาของคุณอาจจะรู้สึกเหมือนถูกสั่งอยู่ก็ได้ แต่ไม่เป็นไรในกรณีที่บทสนทนาเป็นตัวนำพาไป
พูดถึงสิ่งที่อยู่รอบตัว
ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็จะมีสิ่งต่างๆ ให้นำมาพูดคุยกันได้เสมอ เช่น ดนตรีที่เปิดอยู่ อาหาร แสงไฟ และอีกมากมาย แม้กระทั่งเวลาที่อยู่ในลิฟต์กับใครสักคน คุณก็สามารถดึงเรื่องดนตรี ความเร็วของลิฟท์ หรือความแออัดในลิฟต์มาพูดคุยกันได้เสมอ
ถามเรื่องความคืบหน้า
ถ้าคุณแทบไม่รู้จักคู่สนทนาของคุณ หรือรู้จักห่างๆ แต่ไม่เคยคุยกันเลย ลองถามเกี่ยวความคืบหน้าของสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ก็ได้ เช่นว่า “ได้ยินว่าเธอเข้าคอร์สเรียนเต้นมา เป็นยังไงบ้างล่ะ?”
ถ้าเป็นไปได้ ควรถามคำถามแบบปลายเปิด
ไม่ต้องแปลกใจหากได้รับคำตอบสั้นๆ แค่ใช่หรือไม่ใช่จากคู่สนทนา เพราะคำถามที่คุณถามอาจกำหนดให้ตอบได้เพียงแค่นั้น การเตรียมคำถามเพื่อต่อบทสนทนาไว้จะช่วยให้บทสนทนาลื่นไหลได้
ถ้าคุณถามคู่สนทนาว่า กำลังกินอะไรอยู่ อาจจะถามต่อได้ว่า “คุณรู้ไหมว่าอาหารจานนี้กินกับไวน์อะไรจะเข้ากันที่สุด?” การถามว่า “ทำไม” เป็นคำถามที่สามารถต่อบทสนทนาได้เป็นอย่างดี (แค่อย่าถามบ่อยเกินไป ไม่งั้นคุณอาจจะดูเหมือนเด็กไม่รู้จักโต)
ถามคำถามเชิงสมมุติ
คำถามทำนองนี้เป็นการเริ่มบทสนทนาที่ดีทีเดียว ถ้าคุณโยงให้เข้ามาสู่เรื่องใกล้ตัวหรือเรื่องในปัจจุบันได้เพื่อไม่ให้ฟังดู Random จนเกินไปอย่างเช่น “เราเพิ่งดูหนังเกี่ยวกับที่เขายกเลิกกฏหมายมาด้วยแหละ แล้วถ้าเป็นเธอ เธอจะทำยังไง ถ้าเกิดไม่มีกฏหมายข้อนี้ขึ้นมา?”
ถามเรื่องลูกๆ สัตว์เลี้ยง หรืองานอดิเรก 
คนทั่วไปมักจะชอบพูดเรื่องที่เกิดความสำคัญกับตัวเอง ถ้าคุณรู้ว่าเจ้านายมีงานอดิเรกคือการปีนเขา ลองถามเกี่ยวกับทริปล่าสุดที่เจ้านายไปดูสิ จะเป็นการเริ่มบทสนทนาที่ดีสำหรับเขาทีเดียวล่ะ
หากคุณมีวิธีเริ่มบทสนทนาส่วนตัวที่อยากแนะนำ ก็ลองคอมเมนต์มาแบ่งปันกันได้เลยครับ

Source : Business Insider

15 กันยายน 2559

8 วิธี “สร้างวินัยให้กับตนเอง” เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ

การมีวินัยเป็นสิ่งสำคัญมาก ในการทำให้ผู้คนประสบความสำเร็จดั่งที่หวังไว้ ลองคิดดูสิว่าถ้าคุณมีวินัยมากพอที่จะทำในสิ่งที่ต้องทำ ถึงแม้ว่าตัวคุณจะไม่อยากทำก็ตาม คุณจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งด้านอาชีพและชีวิตได้มากมายขนาดไหน แน่นอนว่าการมีวินัยเป็นสิ่งที่ยากและท้าทายมากที่สุด จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเหล่านายจ้างจึงให้คุณค่ากับคุณสมบัตินี้มากกว่าความสามารถอื่นๆ และนี่ก็คือ วิธีการสร้างวินัยทั้ง 8 อย่างที่จะช่วยให้คุณก้าวไปสู่ความสำเร็จอีกขั้น

1. ยึดมั่นกับเป้าหมาย

ถ้าคุณตั้งใจจริงในการที่จะบรรลุเป้าหมาย คุณก็ต้องสัญญากับตัวเองไว้อย่างจริงจังว่า ‘คุณต้องทำ’ ง่ายๆ แค่นี้เองแหละ เพราะว่าวินัยไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมา แต่เป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมาเอง ดังนั้นจงมีวินัยในทุกสิ่งที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพ การกิน การรับผิดชอบต่อหน้าที่ การควบคุมอารมณ์ การระมัดระวังคำพูด และการมองโลกในแง่ดี

2. มีสมาธิจดจ่อกับเป้าหมาย

ให้ทบทวนเป้าหมายของตัวเองทุกๆ เช้าก่อนเริ่มวันใหม่ หรือทบทวนเป้าหมายก่อนเข้านอนเพื่อให้พร้อมสำหรับวันรุ่งขึ้น พยายามเลือกสถานที่ที่เงียบสงบ เพื่อที่คุณจะได้จดจ่อและคิดในสิ่งที่อยากทำให้สำเร็จ จงวางแผนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และพยายามจินตนาการออกมาเป็นภาพ มันจะช่วยให้คุณจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำในวันถัดไปได้เป็นอย่างดี โดยระหว่างนั้น ให้คิดภาพขณะที่ตัวเองบรรลุเป้าหมายแล้ว และเรียกความรู้สึก ณ ตอนนั้นออกมา แล้วคุณจะเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและคิดแง่บวก

3. จัดลำดับความสำคัญของงาน

คุณควรวางแผนการทำงานโดยเลือกทำในสิ่งต้องใช้ความพยายามและวินัยมากที่สุดเสียก่อน เพื่อลดแรงกดดัน วางงานที่ยากและเครียดที่สุดไว้เป็นอันดับแรก เพราะความเครียดที่ลดลงจะช่วยให้งานที่เหลือในวันนั้นสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น วิธีนี้ยังใช้ในการจัดการกับเรื่องยุ่งเหยิงในชีวิตได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

4. พักผ่อนให้เพียงพอ

กุญแจดอกสำคัญที่ไขไปสู่ความสำเร็จก็คือ การเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมสำหรับแต่ละวัน ไม่มีอะไรที่จะทำให้คุณมีสมาธิและอดทนได้ดีมากไปกว่าการพักผ่อนที่เพียงพอ ลองสร้างกิจวัตรประจำวันดีๆ ก่อนนอน ที่ช่วยให้คุณผ่อนคลายจากความวุ่นวายในวันนั้น และปล่อยวางความเครียดที่หลงเหลือออกไป แล้วจึงค่อยเริ่มทำการจัดลำดับความสำคัญของวันถัดไป
การจดบันทึกก่อนนอนก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีประโยชน์มากทีเดียว มันเปรียบเสมือนการได้ทำบทสรุปของวันนั้นๆ เอาไว้ เพื่อไม่ให้มีเรื่องใดๆ มากวนใจคุณได้อีก การจดบันทึกยังช่วยให้คุณคิดวิธีแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งช่วยลดความเครียดก่อนนอนได้อีกด้วย มันเป็นวิธีที่เยี่ยมยอดในการปลดปล่อยพลังงานทางลบต่างๆ ที่แบกรับมาทั้งวันทิ้งไป

5. กินเพื่อเพิ่มพลังให้สมองและร่างกาย

โภชนาการอาหารที่ดี หมายถึง อาหารที่ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นและเพิ่มพลังให้กับร่างกาย คุณควรเริ่มต้นวันใหม่ด้วยมื้อเช้าที่อุดมไปด้วยโปรตีนและมีคาโบไฮเดรตต่ำ หลีกเลี่ยงมื้อกลางวันจำพวกแป้งหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันอาการง่วงหลับหลังจากมื้อหนัก (Food-Coma) พยายามกินอาหารที่สดและสะอาด กินผักที่มีคาร์โบไฮเดรตกับเนื้อที่ไม่ติดมันเพื่อเพิ่มโปรตีน สุดท้ายก็อย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอด้วยล่ะ

6. ทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ

อีกวิธีนึง ที่เยี่ยมยอดที่จะช่วยสร้างวินัยให้กับตัวเองได้ก็คือ การทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ให้เป็นนิสัย สิ่งที่ควรจะทำในชีวิตประจำวันนี่แหละ เช่น การจัดเตียงก่อนออกจากบ้าน ดูแลความสะอาดรอบบ้าน หรือเอาถุงขยะออกไปทิ้ง สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะช่วยทำให้คุณมีวินัยมากขึ้นในเรื่องใหญ่ๆ และเรื่องสำคัญกว่าด้วยเช่นกัน

7. ทำตามสิ่งที่ได้ตัดสินใจไว้แล้ว

คุณควรคิด ตัดสินใจ ทำอะไรไว้ล่วงหน้าเสมอ ถ้าคุณตัดสินใจจะไปออกกำลังกายทุกเช้าก่อนไปทำงาน ก็อย่าปล่อยให้ตัวเองล้มเลิกความตั้งใจเด็ดขาด หรือถ้าคุณตั้งใจไว้ว่าจะทำโปรเจ็คสำคัญในวันถัดไป ก็อย่าลังเล และจงทำตามสิ่งที่ได้ตัดสินใจลงไปแล้วให้ได้
ถ้าไม่ทำอย่างนั้น คุณก็จะไม่มีวินัยในตัวเองสักที ศัตรูตัวร้ายที่สุดไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากจิตใจของคุณเองนี่แหละที่มักจะโน้มน้าวให้คุณจมอยู่กับความขี้เกียจ และเลื่อนภาระหน้าที่ที่คิดจะทำต่อไปอีกเรื่อยๆ ดังนั้น จงพยายามเอาชนะใจตัวเองให้ได้เพื่อกลับมาทำตามแผนที่วางไว้

8. ให้รางวัลตัวเอง

ความสำเร็จเป็นสิ่งตอบแทนในตัวมันเองอยู่แล้ว สำหรับการที่คุณพยายามทำงานอย่างมีวินัยให้ลุล่วงไปได้ แต่เมื่อคุณได้เห็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นด้วยมือของตัวเองตรงหน้า ก็อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยล่ะ มีความสุขและภูมิใจในตัวเอง แบ่งปันความสำเร็จกับคนที่รัก และชวนเพื่อนๆ ออกไปกินเลี้ยงหรือดื่มกันบ้างเพื่อฉลองให้กับการทำงานหนักและความสำเร็จ จงรู้สึกดีกับสิ่งที่ทำอยู่ และทุกครั้งที่คุณได้เห็นความสำเร็จของตัวเอง ก็เหมือนเห็นรางวัลตอบแทนให้กับความมีวินัยที่คุณได้สร้างมา สิ่งนี้เองที่จะกระตุ้นให้คุณรักษาความมีวินัยของคุณต่อไปได้
เพียงแค่คิดเสมอว่า Just do it” หรือ “แค่ลงมือทำ” สิ่งนี้แหละที่จะช่วยประคับประคองให้คุณมีวินัยในตัวเองอย่าปล่อยให้จิตใจโน้มน้าวให้หยุดทำสิ่งที่คุณยึดมั่นไว้แล้วว่าจะทำให้สำเร็จ จงเตือนตัวเองในทุกวันว่าต้องมีวินัย รักษาสุขภาพกระตือรือร้น และคิดในแง่บวกเข้าไว้
และจงอย่าลืม! สิ่งแรกที่คุณต้องทำทุกเช้าก็คือ การกำจัดแรงกดดันต่างๆ ที่คุณมีออกไปเสีย เพื่อที่คุณจะได้มีสมาธิจดจ่อกับเป้าหมายที่วางไว้สำหรับวันนั้นทั้งวันได้ ความมีวินัยจะช่วยบรรเทาความเครียด และนำไปสู่การประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆ ที่ใหญ่ขึ้นได้
“แค่ลงมือทำ JUST DO IT

11 กันยายน 2559

คนที่ประสบความสำเร็จใช้ “สุดสัปดาห์” อย่างไรให้คุ้มค่า? ไปดู!

    
    ในชีวิตคนเรา เรามี “สุดสัปดาห์” อยู่เพียงสองสามพันครั้งเท่านั้น ซึ่งคนที่ประสบความสำเร็จเขาไม่มีทางปล่อยให้วันหยุดสุดสัปดาห์ เสียไปอย่างเปล่าประโยชน์หรอก แต่เขารู้ว่าจะทำอย่างไรให้วันหยุดสุดสัปดาห์ของเขานั้น เขาใช้มันอย่างคุ้มค่าที่สุด… และนี่คือสิ่งที่หนังสือ “What The Most Successful People Do On The Weekend,” ของ Laura Vanderkam ต้องการบอกกับเรา เราเลยจะมาสรุปให้ดูว่า คนเหล่านั้นเขาใช้วันหยุด “สุดสัปดาห์” ได้คุ้มค่าอย่างไรบ้าง!
1.ขั้นแรกคือ คิดว่าอยากทำอะไร?
 แน่นอนว่ามันมีความเป็นไปได้สูง ที่เราจะนั่งลงที่โซฟาตัวโปรด ดูทีวีไปเรื่อยๆ จนหมดวัน หาของทาน ไปเที่ยว โดยที่ไม่วางแผนอะไร แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาทำ คนเหล่านี้จะวางแผนว่าวันหยุดสุดสัปดาห์เขาจะทำอะไรบ้าง ซึ่งถึงแม้จะเป็นการพักผ่อนเหมือนกัน แต่การวางแผนจะทำให้สิ่งที่เราได้ทำ มีคุณค่ามากกว่า มีความรู้สึกว่าเราได้เติมเต็มมากกว่านั่นเอง
2.ทำเวลานัดหมายให้ตัวเอง ว่าจะทำอะไร ตอนไหนคร่าวๆ?
พอคิดได้แล้วจากข้อแรกว่าคุณอยากทำอะไร ขั้นที่สองคือจัดตารางนัดหมาย แล้วทำตามนั้น ถึงแม้รายละเอียดในตาราง จะมีแค่เรื่องพักผ่อนอย่าง อ่านหนังสือตอนเช้า ดูหนังตอนบ่าย นัดเจอเพื่อนตอนเย็น สิ่งนี้จะสร้างความมีวินัยในตัวคุณได้ดี และเป็นการทำให้คุณใช้เวลาได้คุ้มที่สุด
3.การวางแผนใดๆ และคุณทำได้ นั่นทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น แม้ในสุดสัปดาห์ก็สำคัญ
Daniel Gilbert นักวิชาการทางด้านจิตวิทยาจากฮาวาร์ดบอกว่า ความคาดหวังคือส่วนหนึ่งของความสุขของมนุษย์ เพราะฉะนั้น หากเราวางแผน และคาดหวังว่าเราจะได้ทำตามแผนนั้น และเราทำได้ นั่นคือกุญแจสู่ความสุข เพราะฉะนั้น สุดสัปดาห์คือการวางแผนง่ายๆ ที่คุณสร้างความสุขให้ตัวเองได้ และเป็นความสุขที่อยู่ยาวอีกด้วย ลองดู!
4.วางแผนว่าจะทำ 4-5 อย่างในสุดสัปดาห์ แต่ไม่ต้องลงรายละเอียดทุกชั่วโมง
คุณไม่จำเป็นต้องเขียนว่าทุกชั่วโมงคุณต้องทำอะไรบ้าง แต่คุณควรมีคร่าวๆ ว่าคุณจะทำอะไรบ้างในสุดสัปดาห์ของคุณ ประมาณ 4-5 อย่าง ซึ้งหากคุณทำได้ครบหมดแล้ว เวลาที่เหลือก็เป็นเวลาที่คุณทำอะไรก็ได้นั่นเอง
5.นั่งคิดจริงๆ จังๆ ล่วงหน้าว่าในชีวิตมีอะไรที่เราอยากทำ แต่เรายังไม่ได้ทำมั้ย และทำมันซะ!
บางทีเวลาที่เราไม่ได้คิดล่วงหน้าวางแผนว่าเราอยากทำอะไรจริงๆ และใส่ไปมั่วๆ สุดท้ายคุณจะไม่ได้ทำมัน ซึ่ง Vanderkam แนะนำว่า ถ้าว่างๆ ลองนั่งลิสต์รายชื่อสิ่งที่คุณฝันมานานว่าอยากทำในชีวิตมาซัก 100 อย่างดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าสุดสัปดาห์นี้คุณจะทำอะไรดี
6.อะไรที่ไม่ได้ทำในอดีตก็รวมในรายการได้
แม้มันจะเป็นความต้องการในวัยเด็กที่นานมากแล้ว แต่คุณยังไม่ได้ทำ ก็สามารถนำมันมารวมในรายการที่คุณจะทำในวันหยุดได้ ไม่ว่าจะเป็น การเรียนเปียโน เรียนเต้น เป็นต้น
7.ตอนเช้าของวันหยุดสุดสัปดาห์ มันเหมาะมากที่จะได้ทำอะไรเพื่อตัวเอง
อย่างเช่น หากคุณอยากฝึกวิ่งมาราธอนระยะยาวๆ การตื่นเช้าๆ และมาวิ่ง 4 ชั่วโมง มันดีกว่าที่คุณจะรอไปถึงตอนกลางวัน หรือตอนเย็น เพราะช่วงเวลานั้นมักจะโดนรบกวนจากคนรอบข้างที่คุณจะถูกชวนทำนู่นนี่ อย่างแน่นอน
8.สร้างธรรมเนียมเล็กๆ เป็นกิจวัตรในวันหยุดของครอบครัว
นี่คือวิธีสร้างรอยยิ้มและความสุขให้แก่คนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี มันอาจจะง่ายๆ อย่าง ทุกวันเสาร์ ทำสุกี้ยากี้ทานกันในครอบครัว หรือทำแพนเค้ก และพยายามทำให้ได้ทุกสัปดาห์ มันจะเป็นการสร้างสายใยในครอบครัวได้ดีเลยล่ะ!
9.คุณต้องกันเวลาที่คุณจะไม่ติดต่อโลกภายนอกอย่างเช่นมือถือ หรืออินเทอร์เน็ต และพักผ่อนจริงๆ จังๆ
Jess Lahey นักเขียนและอาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่าเขาจะกันเวลาที่เขาจะปิดมือถือไว้เลยคือช่วงบ่ายโมง ถึงบ่ายสามของเสาร์อาทิตย์เพื่อหลับพักผ่อนจริงๆ ซึ่งคล้ายๆ กับ Siestas ในสเปน ที่คุณไม่จำเป็นต้องนอนก็ได้ แต่เป็นช่วงที่คุณพักผ่อน ไม่ยุ่งกับเรื่องงานเลยนั่นเอง
10.อย่าลืมวางแผนของคืนวันอาทิตย์ ไม่อย่างนั้น คุณจะกลับไปคิดเรื่องงานทันที
หากคุณไม่มีอะไรทำคืนวันอาทิตย์ ถ้าคนที่รักในงานมาก จะคิดเรื่องงาน คนที่ไม่รัก จะเศร้าเพราะวันรุ่งขึ้นจะต้องทำงาน เพราะฉะนั้น คนทั้งคู่ ควรหาอะไรทำ ไม่ว่าจะเป็น โยคะ นั่งสมาธิ หรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้คุณจิตใจสงบ ได้พักผ่อน และพร้อมที่จะทำงานวันต่อไป
11.อย่าหมดเวลาไปกับงานบ้าน
 พยายามกระจายงานบ้านไปทำในแต่ละวันของสัปดาห์ ทำวันละนิด วันละหน่อย อย่ารวมกันมาทำในวันหยุดอย่างเดียว เพราะมิฉะนั้น คุณจะเหมือนทำงาน 7 วันและไม่ได้พักผ่อนอะไรเลย
12.ลองซ่อนอีเมล์ไอคอน หรือโปรแกรมแชตช่วงวันหยุดสิ คุณจะได้ไม่ต้องพะวงเช็คตลอดเวลา
 แน่นอนว่าหากคุณอยู่กับมือถือตลอด และเห็นว่ามีอะไรเด้งมา มันก็ยากที่คุณจะไม่เช็ค เพราะฉะนั้น คำแนะนำคือ ลองซ่อนโปรแกรมเหล่านั้นดูแค่ชั่วคราว ที่คุณจะไม่เห็นมัน ตัดขาดจากมัน รับรอง คุณจะไม่มีอะไรมากวนใจวันพักผ่อนของคุณแล้วล่ะ
13.ถ้าคุณอยู่ถึงอายุ 80 คุณจะมีสุดสัปดาห์ให้ใช้ 4,160 ครั้ง อย่าให้มันเสียเวลาเปล่า!
ดูเหมือนจะเยอะ แต่จริงๆ มันไม่เยอะเลยซักนิด ถึงแม้ว่ามันจะเป็นไปได้มากๆ ที่เราจะตกหลุมพรางความรู้สึกที่อยากจะไม่ทำอะไรเลยในวันหยุด แต่นั่น…คุณกำลังเสียช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตไป เพราะฉะนั้น คิดใหม่ วางแผนดีๆ คิดว่าคุณอยากทำอะไรในชีวิต แล้วทำมันซะในวันหยุดนี่ล่ะ! H/T: Businessinsider หมายเหตุ : ภาพประกอบบทความ บางภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาแต่อย่างใด

อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : TerraBKK.com - http://terrabkk.com/?p=142186