28 กรกฎาคม 2559

12 เทคนิคการรักษาความสัมพันธ์หรือชีวิตคู่ เมื่อคุณต้องเดินทางไกล


หากคุณเป็นเหมือนนักธุรกิจอีกหลายๆคนที่ต้องเดินทางเป็นประจำเพื่อไปทำงานที่อื่น ในขณะที่คุณรู้สึกตื่นเต้นกับสถานที่ใหม่ๆ และการพบปะผู้คน การเดินทางติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวสามารถทำให้เกิดความเครียดทั้งกับร่างกายและสภาพจิตใจของคุณ ซึ่งจะส่งผลกับความสัมพันธ์ของคุณได้
โดยเฉพาะหากคุณแต่งงานแล้วหรือกำลังอยู่ในช่วงคบหาดูใจแบบจริงจัง การที่คุณต้องเดินทางอยู่เสมอโดยที่คู่ของคุณถูกทิ้งอยู่เบื้องหลังอาจจะทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดอาการเครียดอย่างมาก ดังนั้นมันจึงสำคัญมากที่ทั้งสองฝ่ายต้องลดระยะห่างทางกายภาพและพยายามเติมเต็มความรู้สึกคิดถึงของอีกฝ่าย การสื่อสารคือประเด็นสำคัณของทุกๆความสัมพันธ์ และมันก็สำคัญเป็นเท่าตัวเมื่อมันเกี่ยวข้องกับความรักที่มีระยะทางมากั้น ดังนั้นแล้วรักษาการติดต่อและรักษาความโรแมนติกเอาไว้ แม้คุณจะยุ่งขนาดไหนก็ตาม เทคนิดข้างล่างนั้นอาจจะสามารถช่วยคุณได้ในการรักษาความสัมพันธ์ของคุณ

1.เปิดเผยตรงไปตรงมา

หากคุณกำลังเตรียมตัวเดินทาง โปรดสังเกตอารมณ์ของคุ่ของคุณก่อนออกเดินทาง ก่อนที่จะเดินทางความบางหมางใจ หรือความไม่เข้าใจใดๆที่คุณทั้งคู่มีควรจะหาข้อสรุปได้แล้ว คุณคงจะไม่อยากจะทะเลาะกับคู่ของคุณทางโทรศัพท์หลังจากที่คุณต้องดูแลลูกค้ารายสำคัญแน่ๆ

2.รู้กำหนดการณ์

 ไม่มีอะไรที่เครียดมากไปกว่า การที่เวลาโดนขยายออกไปโดยไม่มีกำหนด ดังนั้นบอกให้ชัดถึงวันที่ที่คุณจะกลับมา แบบนี้คู่ของคุณจะได้มีวันที่ตั้งตารอคุณกลับมา ในช่วงของการเดินทางลองวางแผนอาหารค่ำโรแมนติก หรือการไปออกเดทกับคู่ของคุณหลังคุณกลับ การแสดงออกเช่นนี้ทำให้คุณทั้งคู่มีเรื่องที่ตั้งตารอที่จะได้พบกันอีก

3.คุยกันเป็นประจำ

นี่อาจจะเป็นเรื่องที่พูดซ้ำไปมาหลายรอบ แต่การติดต่อคุยกันทุกวันนั้นเป็นเรื่องสำคัญ หรืออย่างน้อยการส่งข้อความ “อรุณสวัสดิ์” หรือโทรหากันในช่วงพักเที่ยง หรือการคุยกันสั้นๆในช่วงดึกก่อนนอน หรือส่งรูปหรือข้อความตลกๆให้กันและกันทุกวัน การสื่อสารคือส่วนที่สำคัญที่สุดในความสัมพันธ์

4.ตกลงกันให้ดีเรื่องเงินๆทองๆ

 คอยเช็คให้ดีว่าคุณใช้จ่ายขนาดไหนเมื่อเดินทาง และคู่ของคุณใช้จ่ายอย่างไรเมื่ออยู่บ้านคนเดียว มันอาจจะดูสนุกที่ได้สั่งอาหาร room service หรือไปดื่มกับเพื่อนร่วมงานหลังเลิกงาน และคู่ของคุณก็อาจจะรู้สึกเหมือนอยากสั่งอาหารมาทานมากกว่าทำอาหารเมื่ออยู่คนเดียว การตั้งงบการใช้จ่ายและพยายามควบคุมนั้นเป็นเรื่องที่ดีกว่า เนื่องจากเรื่องเงินๆทองๆนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนในความสัมพันธ์ และคุณคงไม่อยากให้สถานะการเงินนั้นเป็นตัวเร่งความเครียดในความสัมพันธ์ของคุณ

5.ให้คู่ของคุณรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตคุณ

 แม้จะอยู่ห่างที่ ต่างเวลา แต่ก็ไม่ควรจะมีข้อแก้ตัวที่คู่ของคุณไม่รับรู้เรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น การที่คุณให้คู่ของคุณรู้ว่าคุณทำอะไรอยู่และอยู่ที่ไหน และกำหนดการของคุณคืออะไร ใครเดินทางไปกับคุณ เรื่องพวกนี้จะช่วยให้คู่ของคุณสบายใจขึ้นมากเพราะมันจะให้ความรู้สึกเหมือนคู่ของคุณอยู่กับคุณตลอดเวลา นอกจจากนี้คุณก็ควรจะฟังด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของคู่คุณที่บ้าน

6.จงโทรหาหากคุณสัญญาไว้

 คนส่วนมากไม่สามารถรักษาสัญญาที่ว่าจะโทรหาได้ การผิดสัญญานั้นรังแต่จะสร้างความเครียดในความสัมพันธ์ คุณจะรู้สึกเหมือนคู่ของคุณไม่ใส่ใจ และไม่ให้เกียรติคำสัญญานั้น ตั้งเตือนความจำในมือถือของคุณเพื่อเตือนความจำ หากคุณติดธุระจริงๆ อย่างน้อยการส่งข้อความหาคุ่ของคุณและขอโทษที่ไม่สามารถรักษาสัญญาได้

7.ทำบางอย่างร่วมกันแม้จะอยู่คนละที่

ที่อาจจะฟังดูเพี้ยน แต่คุณยังสามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้อย่างคู่รักทั่วไปแม้จะอยู่ห่างกัน เช่นอ่านหนังสือ หรือดูหนังเรื่องเดียวกัน ฟังเพลง หรือออกกำลังกายในเวลาเดียวกัน การที่ทั้งคู่มีความสนใจ และมีกิจกรรมร่วมกันนั้น จะช่วยปิดระยะห่างของความสัมพันธ์ให้แคบลง และนี่ก็เป็นวิธีหาหัวข้อสนทนาใหม่ๆ เพื่อออกจากความเครียดจากงานอีกด้วย

8.แสดงความรักอย่างสม่ำเสมอ

 แสดงความรักเป็นประจำ ระวังอย่าให้ความรักจืด พูดคำว่า คิดถึงบ่อยๆ ส่ง postcard หรือสั่งช่อดอกไม้ไปส่งที่หน้าบ้านบ้างในช่วงที่คุณไม่อยู่นานๆ อยๆ ส่ง ยลงน ฟังเพลง หรือออกกำลังกายในเวลาเดียวกัน การที่ทั้งคู่มีคทิ้งโน๊ตบอกรักแล้ววางไว้ที่จุดต่างๆทั่วบ้าน ให้คู่ของคุณไปเจอในขณะที่คุณไม่อยู่บ้าน และจงสนุกและมีความสุขกับมัน การกะทำเช่นนี้จะช่วยให้ การหายตัวไปของคุณทำให้ความรักเข้มแข็งขึ้น

9.สนใจคู่ของคุณ

 ในขณะที่คุณโทรศัพท์หรือ วีดีโอคอล จงแน่ใจว่าคุณพุ่งความสนใจไปที่คู่ของคุณไม่ใช่สิ่งอื่นรอบตัว จากประสบการณ์ของนัธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่ต้องเดินทางไปทั่วโลกละรักษาชีวิตคูรมายาวนาน Paul Morre กล่าวว่า เค้าเลือกที่จะให้ความสนใจกับคู่ของเค้าและบทสนทนาโดยไม่ใส่ใจสิ่งกดดันรอบตัวนาน 5 นาที ดีกว่ามีบทสนทนาที่คุ่ของเค้าไม่รู้สึกว่าเค้าสนใจในบทสนทนาเลยนานครึ่งชั่วโมง

10.ทำงานอดิเรกและมีชีวิตส่วนตัว

 เวลาส่วนตัวเป็นส่วนสำคัญของชีวิต และมันจะช่วยลดความเครียดเมื่อคุณคุยกับคู่ของคุณ งานอดิเรกที่คุณทำ ไม่ว่าจะเป็นการออกไปวิ่ง ชิมอาหารที่ร้านต่างๆ ออกไปถ่ายรูป เล่นดนตรี ออกกำลังกาย หรืออื่นๆ จะช่วยให้คุณมีเวลาเป็นของตัวเองแม้คุณจะคิดถึงคู่ของคุณแต่คุณก็ต้องดูแลตัวเองและใช้เวลาทำในสิ่งที่คุณชอบด้วย.

11.เดินทางกับคู่ของคุณบ้าง

หากคุณสามารถที่จะพาคู่ของคุณเดินทางไปด้วยได้บ้างใบบางโอกาส จัดเตรียมงบค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและพาคู่ของคุณไปด้วย ในขณะที่คุณต้องทำงานให้คู่ของคุณมีเวลาออกไปเดินเล่น และแวะชมสถานที่ต่างๆ คุณอาจจะแนะนำเธอได้ว่าที่ไหนคือสถานที่น่าสนใจ จากนั้นเมื่อเสร็จจากงาน คุณก็สามารถพาเธอไปเที่ยวแบบโรแมนติกได้ หากงบประมาณคุณมากพอ คุณอาจจะอยู่ต่อในช่วงสุดสัปดาห์ และมีความสุขกับช่วงวันหยุดส่วนตัวกันสองคน

12.ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์

 แม้ใครจะบอกว่าเทคโนโลยีทำให้คนไกลกันมากกว่าเดิม แต่หากใช้ให้ดีมันก็สามารถเป็นตัวเชื่อมชั้นดีสำหรับความสัมพันธ์ที่ห่างไกล นี่คือคำแนะนำบางอย่างสำหรับการใช้เทคฌนโลยีให้เกิดประโยชน์ - ตั้งเวลาไว้ในมือถือ และ ปฏิทินกำหนดการของคุณ เพื่อเตือนเวลาที่คุณต้องโทรหรือส่งข้อความหาคู่ของคุณ

- ดาว์นโหลด Skype หรือ Google Hangout หรือ Facetime แบบนี้คุณจะสามารถ Video Call คู่ของคุณได้

- หากคู่ของคุณชอบที่จะได้รับของขวัญ ส่งของขวัญออนไลน์จากร้านออนไลน์ที่เธอชอบสิ

 - แบ่งปันรูป และวีดีโอผ่าน social media เป็นอีกวิธีที่จะอัพเดทกิจวัตรประจำวันของคุณให้คู่ของคุณได้รับรู้

มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าสงสัย หรือเป็นเรื่องธรรมดาที่ว่าการที่ต้องอยู่ห่างกันอาจจะทำให้ความสัมพันธ์สั่นคลอน แต่หากคุณตั้งใจที่จะดูแลความสัมพันธ์ให้ดีแล้วล่ะก็ ไม่ว่าอาชีพการงานของคุณจะพาคุณไปไกลขนาดไหน คุณก็จะยังสามารถรักษาความสัมพันธ์นั้นได้อยู่ ขอบคุณข้อมูลจาก :  www.huffingtonpost.com

อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : TerraBKK.com - http://terrabkk.com/?p=83729

7 เรื่องเล็กๆที่ ผู้หญิง อยากให้ผู้ชายรู้ แต่ไม่มีทางเอ่ยปากบอก!


ผู้ชายมักจะบ่นว่า ยังไงก็ไม่มีวันเข้าใจผู้หญิงเลยว่าเจ้าหล่อนต้องการอะไร แถมบางทีก็งอนขึ้นมาซะงั้น พอถามก็บอกว่า “ไม่มีอะไร” ให้เดาไปอีกล้านแปดว่าสาเหตุคืออะไรอีก วันนี้เรามีคำตอบมาให้เลย เพราะบางครั้งผู้หญิงอย่างเราๆก็อยากจะบอกว่า เรื่องแค่นี้อ่ะ รู้สักทีจะได้มั๊ย!

 1. อย่าถามว่ากินอะไรดี เพราะมันจะลงเอยที่ว่า “อะไรก็ได้”
 แต่บอกเลยว่ามันไม่ใช่อะไรก็ได้ เรารู้ว่าคุณผู้ชายปวดหัวม๊ากก เวลาถามว่าอยากกินอะไร ด้วยความที่ไม่อยากให้ดูตะกละเกินไปนัก คุณผู้หญิงมักจะตอบกลับไปว่า “อะไรก็ได้” เพราะจะได้ไม่ดูเรื่องมาก แต่พอคุณเสนอไอ้สิ่งที่คุณอยากกินมา คุณผู้หญิงค่อยสำเหนียกได้ว่าไม่อยากกิน แล้วสุดท้ายไอ้โน่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ คุณผู้ชายเลยเพลียกับเรื่องนี้เป็นอันดับต้นๆ ทางออก: ถามใหม่ โดยตั้งช้อยส์ให้เลือกมาเลย เช่น วันนี้กินอะไรดีระหว่างพิซซ่า ข้าว หรือว่าก๋วยเตี๋ยว พร้อมเหตุผลสนับสนุน เช่น ร้านนี้อร่อย แต่อีกร้านอยู่ใกล้กว่า คุณหิวแล้วหรือยัง? เพิ่มความใส่ใจขึ้นมาอีกนิด สาวเจ้าก็จะเพิ่มคะแนนบวกให้คุณในฐานะที่คุณเตรียมตัวมาดี แต่ถ้านางยังเลือกไม่ได้อีก ก็ตัดบทไปเลยว่า งั้นกินร้านนี้นะ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง จบ!

2. ให้ความสำคัญกับเธอเป็นที่หนึ่ง หรืออย่างน้อย ก็ไม่ทำให้เธอรู้สึกด้อย
 แม้ว่าในชีวิตของคุณจะมีเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอีกล้านแปด ทั้งงาน ทั้งครอบครัว ทั้งเพื่อน ทั้งงานอดิเรก แต่การให้ความสำคัญกับคุณแฟนก็เป็นสิ่งจำเป็น ถ้าคุณไม่อยากเจอคำถามประเภท “ไม่รักเค้าแล้วใช่มั๊ย” หรือ “ทำไมแต่ก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย” ทางแก้ก็คือ ไม่ทำตัวหายสาปสูญ ซึ่งหลายครั้งอะไรที่ง่ายๆ ก็กลายเป็นสาเหตุที่เลิกกัน เมื่อเธอจับได้ว่าคุณทำอย่างอื่นจนเพลิน ไม่ได้สนใจเธอเช่น เผลอไลค์เฟซบุ๊คคนอื่นก่อนจะดูไลน์ว่าเธอทักมาสามวันแล้วแค่คุณไม่ตอบ เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย และไม่ได้คิดอะไรจริงๆ แต่นั่นเท่ากับคุณเหยียบกับระเบิดแล้วล่ะ เพราะผู้หญิงจะคิดในทันทีว่าถ้าคุณมีเวลาตอบคนอื่น แล้วทำไมถึงไม่มีเวลามาตอบเธอบ้าง ทางออก: ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้เธอรู้สึกว่าคุณหายไป ถ้าไม่ว่างโทรคุย ไลน์ก็มี เฟซบุ๊คก็มี และมันฟรี ส่งสติ๊กเกอร์ซักตัวไปหามั๊ย มันคงไม่ยากเย็นนัก ส่งไปก่อนที่เธอจะต้องทักมา ถ้าคุณไม่ว่างจริงๆ ก็ส่งข้อความไปบอกหน่อยว่า ช่วงนี้ยุ่งจริงๆ แต่ก็อย่าลืมส่งข้อความไปทักทายบ้าง อย่างน้อยก็ “คิดถึงนะ” ให้เธอรู้ตัวว่าคุณยังเป็นแฟนเธออยู่

3. ไม่ต้องถามว่าอยากได้ดอกไม้หรือเปล่า ตอบเลยว่าอยาก!
 แฟนสาวของคุณอาจไม่ใช่สาวหวาน เธออาจไม่ต้องการดอกไม้มาเอาใจ แต่ให้ไปเหอะ ดีกว่าไม่ให้ แม้ว่าดอกไม้อาจจะดู Cliché แต่มันเป็นสิ่งที่ทั่วโลกการันตีว่ามันทำให้ผู้หญิงยิ้มได้ มันเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ผู้ชายแทบไม่ต้องลงทุนอะไรมากมายเลยด้วยซ้ำ

4. ช่างสังเกตขึ้นอีกนิด และชมเธออีกหน่อย
สังเกตขึ้นอีกหน่อยว่าเธอมีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นทรงผม วันนี้เธอไดร์ตรง หรือถักเปีย แต่งหน้าเฉดใหม่ ใส่กระโปรง หรือกางเกง อะไรที่ดูแปลกตาไปบ้าง 100 ทั้ง 100 ผู้หญิงอยากให้ผู้ชายทักว่าเธอมีอะไรที่แปลกไป ยิ่งถ้าเธอตั้งใจแต่งตัวมาเพื่อคุณแล้ว พูดเบาๆ ว่า “วันนี้คุณสวยจัง” หรือ “วันนี้ดูแปลกตาไปเลย น่ารักขึ้นนะ” คุณจะได้รอยยิ้มกว้างๆ จากเธอเป็นการตอบแทนที่คุ้มค่าเลยล่ะ

5. ถ้าถามว่าใส่ชุดนี้แล้วเป็นไง อย่าตอบแค่ว่า “ก็ดี”
เป็นคำถามปราบเซียน ที่คุณผู้ชายบอกว่าอยากร้องไห้ เวลาคุณแฟนถามเรื่องชุดเสื้อผ้าของเธอ อย่าตอบว่า “ดีแล้ว” หรือ “ก็ดี” มันจะทำให้เธอคิดว่าคุณไม่ใส่ใจ ทางเอาตัวรอดก็คือ ไม่ต้องรีบตอบ ลองพิจารณาดูว่ามันเหมาะกับเธอจริงๆหรือเปล่า ให้ความเห็นจากใจจริง เช่น สีนี้เหมาะกับคุณมาก คุณใส่แล้วสวย หรือถ้าไม่ชอบก็บอกไปตรงๆ แม้ว่าคุณจะเพลียถ้าสุดท้ายเธอก็จะใส่อย่างที่เธออยากใส่ แต่อย่างน้อยเธอก็จะไม่บ่นอีกเวลาขอความเห็นจากคุณ

6. บางทีผู้หญิงก็อยากได้ความหวานเหมือนในนิยาย หรือซีรีส์บ้าง
 ผู้ชายชอบหาว่าผู้หญิงเพ้อเจ้อเวลาเธอชอบตัวละครจากในนิยายหรือในซีรีส์ที่เธอดู งั้นคุณก็อย่าทำให้ผู้ชายดีๆมีแค่ในนิยาย แต่จงกลายร่างเป็นเจ้าชายที่พวกเธอหลงรัก ไม่จำเป็นต้องทำตัวให้หวานเลี่ยนบ่อยนัก แต่นานๆครั้งก็ลองสร้างซีนแบบโอบกอดจากข้างหลัง กระซิบอ้อนเธอที่ข้างหู หรือให้เธอขี่หลังเป็นโอปป้าเกาหลีบ้าง บอกเลยว่าเธอจะฟินหนักๆ

7. ถ้าผู้หญิงเงียบ แปลว่าเธองอน และรอให้คุณง้อ
 แฟนสาวบางคนอาจจะใจดีบอกตรงๆว่างอนอยู่ แต่บางคนก็เงียบไป บอกได้เลยว่านั่นคือสัญญาณที่เธอบอกว่า “ง้อฉันสิ” นั่นคือคุณต้องง้อ ไม่ใช่ว่าปล่อยให้เรื่องผ่านไป แฟนของคุณอาจจะเก็บเรื่องนี้เข้าบัญชีดำและขุดขึ้นระลึกชาติทุกครั้งไปถ้าคุณปล่อยเลย

 วิธีแก้ปัญหามีดังนี้:

1. คุณไม่รู้จริงๆ ว่างอนเรื่องอะไร ก็ต้องพยายามเผชิญหน้ากับเธอตรงๆ บอกเลยว่าคุณไม่รู้

2. ขอโทษ ขอโทษไว้ก่อนเลย แต่คุณต้องขอโทษจากใจจริง ไม่ใช่ว่า “ผมขอโทษนะ แต่..” ลองให้เธอพูดเหตุผลของเธอก่อน บางทีมันอาจจะงี่เง่าจนเธอเองก็รู้สึกผิดเองก็ได้

3. ถ้าเธอยังไม่ยอมคุยด้วย ลองอ้อนส่งสัญญาณสงบศึกเงียบๆ เช่น ช่วยล้างจาน หาของหวาน หรือขนมให้เธอ เพื่อให้อารมณ์ดีขึ้น

4. ชวนเธอออกไปหากิจกรรมอย่างอื่นทำ เช่น ไปดูหนัง ทานข้าว หรือทำอะไรที่เธอชอบ เพราะมันบ่งบอกว่าคุณอยากเจอหน้าเธอ อยากใช้เวลาร่วมกับเธอ เลิกงอนได้แล้วนะทูนหัว

5. ถ้าคุณผิดจริง ก็ขอโทษให้มันหวานๆไปเลย เช่น เขียนโน้ตขอโทษ อ้อนว่าคุณผิดไปแล้ว หมายเหตุ : ภาพประกอบบทความ บางภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาแต่อย่างใด

อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : TerraBKK.com - http://terrabkk.com/?p=115022

8 กิจวัตร ของคนประสบความสำเร็จ


การที่บุคคลหนึ่งจะประสบความสำเร็จและร่ำรวยนั้น ประกอบด้วยหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็น ความรู้ ความสามารถ ความพยายาม และอื่นๆอีกมากมาย แต่ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ การใช้เวลาในแต่ละวันให้เป็นประโยชน์สูงสุดนั่นเอง การใช้เวลาในแต่ละวันให้เกิดประโยชน์ที่สุด ถือเป็นส่วนสำคัญเบื้องหลังความสำเร็จและร่ำรวยของนักธุรกิจหลายๆ ท่านเลยทีเดียว วันนี้เราได้รวบรวมกิจวัตรที่ทำกันเป็นประจำของบุคคลเหล่านี้มาให้ดูกัน

1. ตื่นนอนแต่เช้า

ช่วงเวลาตอนเช้าเป็นโอกาสดี จิตใจให้สงบ ใช้เวลานี้วางแผนและตั้งเป้าหมายประจำวัน ออกกำลังกาย ใช้เวลากับครอบครัวก่อนไปทำงาน ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้นี่แหละที่เป็นตัวส่งเสริมให้ตลอดทั้งวันเต็มไปด้วยความมีประสิทธิภาพ

2. รับประทานอาหารเช้า

 คนที่ประสบความสำเร็จต่างก็รู้และเข้าใจดีว่า อาหารมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญมาก เพราะมื้อนี้จะช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานและยังส่งเสริมในด้านอื่นๆของร่างกายอีกเช่น ช่วยให้ความจำดี ช่วยพัฒนาสมอง เป็นต้น และยังช่วยลดโอกาสเป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคนิ่วได้อีกด้วย (ข้อมูลจาก todayhealth) เมนูง่ายๆและดีต่อสุขภาพที่แนะนำ คือ ซีเรียล,คอร์นเฟลก,ไข่,โยเกิร์ต,ผักผลไม้,ข้าว เป็นต้น

 3. ดำเนินการตามแผนงานประจำวัน

 หลังจากที่วางแผนในตอนเช้าแล้ว เมื่อไปถึงที่ทำงาน ก็จะเริ่มสะสางงานต่างๆ ตามรายการที่วางไว้ให้เรียบร้อยตามลำดับความสำคัญ เพราะหากวางแผนไว้แต่ไม่ทำตาม ก็ไม่ทำให้เกิดประโยชน์ได้ นอกจากจะวางแผนแต่ละวันล่วงหน้าแล้ว ส่วนมากพวกเขาจะวางแผนระยะยาวให้กับตัวเองอีกด้วย

4. รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

คนกลุ่มนี้ส่วนมากมักไม่ค่อยทานอาหารขยะ(junk food) หรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ใช่แค่เพื่อรักษาน้ำหนักและรูปร่างให้ดูดีเท่านั้น แต่เพื่อเป็นการรักษาสุขภาพของตนเองไม่ให้ป่วยง่าย เพราะเมื่อร่างกายแข็งแรงก็พร้อมที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

 คนที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จมักจะรักสุขภาพ นอกจากจะใส่ใจเรื่องอาหารแล้ว ก็ยังออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย นอกจากจะทำให้สุขภาพดี รูปร่างดี หน้าตาผิวพรรณเปล่งปลั่งแล้ว ยังดีต่อสุขภาพจิตใจด้วย การออกกำลังกายช่วยคลายเครียดได้เป็นอย่างดี ทำให้รู้สึกสดชื่น แจ่มใจ จะหยิบจับอะไรก็จะทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

6. ไม่ติดออนไลน์

 สมัยนี้การทำงานออนไลน์ถือเป็นเรื่องปกติ เราทุกคนต่างก็ใช้สมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ ทำงาน สื่อสารออนไลน์กันแทบจะตลอดเวลา จนบางครั้งก็ลืมที่จะทำกิจกรรมอื่นๆกันไป แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จจะไม่ลืมให้เวลากับตัวเอง เช่น ใช้เวลากับครอบครัว ไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ทำงานอาสาสมัคร ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ เพื่อเป็นการพักผ่อนสมองได้เพื่อนใหม่ๆจากการทำกิจกรรม ได้ประสบการณ์ดีๆ และยังเป็นการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์

7. อ่านหนังสือเยอะๆ

ไม่ว่าจะงานยุ่งขนาดไหนก็ตาม คนที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จจะหาเวลาอ่านหนังสืออยู่เสมอ เพราะเชื่อว่าการพัฒนาตนเองและเรียนรู้ตลอดเวลาเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น พวกเขาจึงจัดได้ว่าเป็นพวกหนอนหนังสือ และส่วนมากจะชอบอ่านหนังสือประเภทพัฒนาตนเอง ด้านอุตสาหกรรมสายงานตนเอง รวมถึงหนังสืออื่นๆ ที่มีประโยชน์อีกด้วย

8. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

 โดยปกติร่างกายเราต้องการการนอนหลับพักผ่อนวันละ 7-8 ชั่วโมง แต่อย่างน้อยไม่ควรน้อยกว่าวันละ 6 ชม. นอกจากจะเป็นการพักผ่อนร่างกายที่เพียงพอแล้ว การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอจะเป็นต้นตอของโรคต่างๆ ที่อาจตามมาได้อีกด้วย เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคอ้วน เป็นต้น (ข้อมูลจาก gotoknow) หรืออาการง่วงเหงาหาวนอนตลอดทั้งวัน ซึ่งส่งผลการทำงานของเราให้ไม่มีประสิทธิภาพไปด้ว

 นอกจากนี้ การพักผ่อน เดินไปมา 5 นาที ไม่นั่งติดคอมพิวเตอร์ทั้งวัน และการผ่อนคลายหลังการทำงาน เช่น การออกกำลังกาย การยืดเส้นยืดสาย เล่นโยคะ ฯลฯ ก็มีส่วนช่วยให้เราผ่อนคลายหลังการทำงานหนักทั้งวันได้เช่นกัน ผ่านไปกันแล้วนะครับกับกิจวัตรของผู้ที่ประสบความสำเร็จเขาทำกัน อ่านแล้วสามารถลองนำไปปฏิบัติและปรับใช้กันได้เลยนะครับ เช่น ลองตื่นเช้าขึ้น ใส่ใจกับอาหารที่ตัวเองกินมากขึ้น ออกกำลังกายบ้าง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวอยู่เสมอ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตให้เพื่อนๆได้ครับ ค่อยๆก้าวเดินไป ซักวันเราจะเป็นหนึ่งในคนที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวยได้แน่นอน ขอบคุณข้อมูล จาก : Masii.co.th

อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : TerraBKK.com - http://terrabkk.com/?p=119616

10 เคล็ดลับเพิ่มประสิทธิภาพสมอง


10 เทคนิคเคล็ดลับพัฒนาสมอง เพื่อให้ดึงประสิทธิภาพของสมองออกมาให้มากขึ้น สมองของมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ซับซ้อน และเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าต่างศึกษาและค้นคว้า ถึงสมองเป็นเหมือนจักรวาลที่ถูกบรรจุอยู่ในสมองของเรา จากการศึกษาและระยะเวลาที่ยาวนาน รวมถึงการทดลองพลังของสมองมากมาย ผลที่ได้นั้นมีหลายอย่างที่น่าสนใจ เทคนิคต่อไปนี้เป็น 10 เคล็ดลับเพิ่มประสิทธิภาพสมอง

 1. สมองของเราสามารถสร้างภาพหลอน (อย่างถูกกฎหมายได้)

 เทคนิคทางสมองนี้ มีชื่อเรียกว่า “Ganzfeld effect” และมันทำงานโดยการหลอกจิตใจของเราโดยการลดการรับรู้ ผู้ร่วมทดสอบบางคนแจ้งว่าได้ยินเสียงของญาติที่ตายไปแล้วหรือเห็นม้าเต้นรำ วิธี คือ (คุณต้องมีอุปกรณ์ดังนี้ ลูกปิงปอง วิทยุพร้อมหูฟัง และไฟฉายสีแดง) เปิดวิทยุและปรับไปที่คลื่นที่ไม่ได้รับสัญญาณ – คลื่นซ่า – และครอบหูฟัง ตัดปิงปองครึ่งหนึ่งและครอบปิงปองครึ่งลูกเหนือตาทั้งสองข้าง เปิดไฟฉายสีแดงและให้ไฟฉายสีแดงส่องตรงมาที่คุณ อยู่ในท่านี้อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง

 2. การยักคิ้วจะเพิ่มความสร้างสรรค์ของคุณ

 เทคนิคทางสมองนี้สำเร็จมาจากการกระตุ้นความสนใจสองอย่าง คือ การรับรู้ และ การคิด การรับรู้คือความสนใจชนิดที่รับผิดชอบประสบการณ์ทางร่างกายของเรา ในขณะที่ การคิดนั้นส่งผลต่อระบบสมอง เมื่อเรายักคิ้วขึ้น ผลทางตรงคือการกระตุ้นการรับรู้ทางกาย และในขณะเดียวกันเทคนิคนี้ยังกระตุ้นสมองในส่วนของการคิดอีกด้วย ซึ่งจะช่วยส่งผลให้สมองเกิดความคิดสร้างสรรค์

3. เสียงดนตรีจะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

 ความจริงที่ว่าเสียงดนตรีนั้นจะช่วยลดระดับ “cortisol” (ฮอร์โมนชนิดหนึ่ง) ในสมอง อาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลก สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือความจริงที่ร่างกายส่วนรับรู้ ความรู้สึกนั้นส่งผลโดยตรงกับสมอง และสามารถช่วยเยียวยาระบบภูมิคุ้มกันได้ ร่างกายของคนเรานั้นไม่สามารถแยกได้กับสารเคมีที่เกิดขึ้นในสมอง โดยการลดระดับความเครียดร่างกายของเราสามารถผลิตแอนตี้บอดี้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพเพื่อมาต่อสู้กับโรคภัย และเมื่อเวลาผ่านไปผลนี้จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อต้านโรคได้ดียิ่งขึ้น

4. โลโก้ Apple นั้นสร้างความคิดต่างในสมองของเรา

 เคยสงสัยหรือไม่ ถึงเหตุผลที่ Steve Jobs สร้าง โลโก้ แอปเปิ้ลถูกกัดนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นตัวแทนของสินค้า Apple? เดาว่าพวกเราคงจะไม่สามารถรู้ได้ว่า Steve Jobs คิดหรอเปล่าว่าการใช้โลโก้นี้จะช่วยในการสร้าง ความคิดต่าง แต่สุดท้ายแล้วเขาทำสำเร็จ จากการนิตยสารการศึกษาที่ Duke University ตีพิมพ์ เกี่ยวกับ บทความที่น่าสนใจนี้ ในนิยตสาร Journal of Consumer Research ว่า เมื่อผู้ทดลองได้เห็น สัญลักษณ์โลโก้แอปเปิ้ล ผลที่ได้รับคือการเพิ่มขึ้นของระดับความคิดสร้างสรรค์และความแตกต่าง ทีนี้เราก็มีวิธีเพิ่มความสร้างสรรค์ในสมองของเราแล้ว!

5. พวกเราจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

 ในช่วงเวลาของวันที่เราเกลียดที่สุด ส่วนใหญ่เราจะมีช่วงเวลาที่รู้สึกว่าเป็นช่วงที่เยี่ยมที่สุดของวัน ช่วงที่เต็มไปด้วยพลังงาน ความตื่นตัวและความพร้อม ที่จะทำในสิ่งต่างๆ แต่จากการทดลองทางวิทยาศาสตร์แล้วเราจะบอกว่าคุณคิดผิด จากการทดลองโดย Department of Psychological Science ที่ Albion College และ Department of Psychology ที่ Michigan State University นักวิจัยพบว่าช่วงเวลาที่เรารู้สึกไม่อยากทำอะไรเลย ต่างหากจะเป็นเวลาที่ความคิดต่างๆ และการแก้ไขปัญหาสามารถเกิดขึ้นได้ดีที่สุด การศึกษาอื่นๆแสดงให้เห็นว่าช่วงเวลาที่รู้สึกไม่อยากทำอะไรที่สุดนั้น เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการทำงานสร้างสรรค์หรือการคุยงานกลุ่ม

 6. การเรียนดนตรีช่วยพัฒนาทักษะการเข้าสังคม

 การเรียนดนตรีนั้นเป็นที่รับรู้กันว่ามีส่วนช่วยในการเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ แต่ทักษะในการสื่อสารล่ะ? คำตอบคือใช่ – การเรียนดนตรีจะช่วยเพิ่มความทักษะทางการสื่อสารและช่วยในการพัฒนาทักษะการเข้าสังคม การฝึกฝนดนตรีนั้นจะช่วยให้ผู้ฝึกสามารถ รับรู้ได้ดีขึ้นถึงอารมณ์ของผู้อื่น อีกทั้งนักดนตรีส่วนใหญ่มีทักษะที่ดีกว่าในการตัดเสียงรบกวนรอบข้างจากความสนใจของตัวเอง และทำให้เขาเป็นผู้ฟังที่ดี ท้ายสุดผู้ฝึกฝนการเล่นดนตรีนั้นมักจะมีทักษะที่ดีกว่าในการสื่อสารความคิดและอารมณ์ของตัวเอง

 7. Mint (สะระแหน่) เป็นตัวช่วยพัฒนาการรับรู้แบบธรรมชาติ

 จากการทดลองหลายอย่างเพื่อช่วยพัฒนาความสามารถในการรับรู้โดยเทคโนโลยี ยา และอื่นๆ นี่เป็นข่าวดีที่เราจะได้รู้ว่า มีวิธีทางธรรมชาติที่สามารถช่วยพัฒนาความสามารถในการรับรู้ของเราได้ การศึกษาของ Wheeling Jesuit University แสดงให้เห็นว่ากลิ่นมิ้นท์นั้นมีประโยชน์ต่อร่ายกายและการรับรู้ของเรามาก ไม่ว่าจะช่วยในการ มีเหตุมีผล การตัดสินใจ ความมุ่งความสนใจ ความทรงจำ และความคิด การศึกษาอื่นๆแสดงให้เห็นว่า มิ้นท์นั้นช่วยในการกระตุ้นโดยรวม และทักษะการตอบโต้เช่นกัน

 8. หูข้างหนึ่ง ดีกว่าหูอีกข้างเสมอ

 จำเรื่องของ สมองซีกซ้ายและสมองซีกขวาได้หรือไม่? ที่ว่าสมองซีกซ้ายจะช่วยในเรื่องของตรรกะเหตุและผล ในขณะที่สมองซีกขวาจะเป็นเรื่องความคิดสร้างสรรค์ คล้ายกันกับวิธีคิดเรื่องสมอง หูด้านขวาของเรานั้นดีกว่าในการรับและประมวลผลของคำ ในขณะที่หูทางด้านซ้ายนั้นรับรู้ได้ดีกว่าสำหรับดนตรีและโทนเสียงต่างๆ

 9. การจับต้องบางสิ่ง จะทำให้เราอยากได้มันมากขึ้น

 ทีนี่เราก็ได้รู้แล้วว่าทำไมผู้ขายถึงได้ทำตัวอย่างสินค้าเอาไว้ – เพราะมันจะทำให้คนอยากได้มันมากขึ้น และไม่ใช่แค่นั้น คนโดยส่วนมากนั้นยินดีที่จะจ่ายให้กับบางสิ่งที่ได้จับต้องจริงแล้วมากกว่า สาเหตุนั้นก็คือ การที่ได้จับต้องสิ่งของบางอย่างจะเพิ่มความรู้สึกเป็นเจ้าของในสมองของเราโดยไม่รู้ตัว และความคิดเช่นนี้สามารถเอาชนะความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ บางสิ่งบางอย่างได้อีกด้วย

10. การขยับมือจะช่วยเพิ่มความสามารถในการจำ

 เทคนิคสมองนี้เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงระหว่างสมองในส่วนของการเรียนรู้และสมองใน ส่วนของความทรงจำโดยผ่านการเคลื่อนไหวมือ ดังนั้นแล้วเราจะสามารถจดจำและดึงความทรงจำได้อย่างแม่นยำยิ่งกว่าเมื่อเราเคลื่อนไหวมือ นักวิจัยแสดงให้เห็นว่าคนที่ต้องจดจำข้อมูลจำนวนมาก มักจะมีการขยับเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าคนอื่นๆ การเคลื่อนไหวร่างกาย จะช่วยในการดึงความจำ ออกมาได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารอีกด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก www.qz.com

อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : TerraBKK.com - http://terrabkk.com/?p=130882

9 งานอดิเรก ยิ่งทำ…ยิ่งฉลาด


 มีความเชื่อผิด ๆ กันว่า ความฉลาดไม่สามารถพัฒนาได้มากนักและขึ้นอยู่กับพันธุกรรมเป็นหลัก แต่ความจริงแล้วใครจะรู้ว่าสมองสามารถพัฒนาได้ผ่านงานอดิเรกง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่จำเป็นต้องพึ่งยาเพิ่มความฉลาดหรือพึ่งติวเตอร์ที่ไหน เพียงแค่ทำกิจกรรม 9 อย่างที่ Life on Campus นำมาเสนอเท่านั้นเอง รับรองว่าทำเป็นประจำฉลาดขึ้นแน่นอน

1.เล่นดนตรีแบบศิลปิน

ยิ่งทำ…ยิ่งฉลาด เมื่อนานมาแล้วขงจื๊อกล่าวไว้ว่า ‘ดนตรีมอบความพึงพอใจที่ธรรมชาติของมนุษย์ไม่สามารถทำได้ ‘ และจากผลการวิจัยก็ระบุว่าดนตรีหรือเสียงเพลงสามารถกระตุ้นสมองของมนุษย์ได้ดี และนักวิจัยหลายคนก็ได้แสดงผลงานวิจัยที่บ่งบอกว่า ผู้ที่ทั้งฟังดนตรีและเป็นผู้เล่นเองมีพื้นที่หน่วยความจำที่มากขึ้น นอกจากนี้การเล่นเครื่องดนตรียังเป็นการฝึกความอดทนและความพยายาม เพราะการที่จะเล่นดนตรีให้เชี่ยวชาญได้นั้น จำเป็นจะต้องทุ่มเทเวลาให้มันอย่างเต็มที่ ผลพลอยได้คือการมีสมาธิที่ดีขึ้น

 2.อ่านหนังสือให้เหมือนเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้แตะมัน

 เป็นความเชื่อมาตั้งแต่ไหนแต่ไรว่าการอ่านหนังสือจะช่วยเพิ่มระดับความฉลาดได้ แต่หมายถึงว่าต้องอ่านแบบไม่ลืมหูลืมตาและอ่านหลากหลายแนวตั้งแต่ นวนิยาย ชีวประวัติ ไปจนถึงบทประพันธ์ต่าง ๆการอ่านหนังสือช่วยลดความเครียด ช่วยให้คุณเผชิญหน้ากับอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลายและทำให้มีความรู้ในเรื่องต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือในสถานการณ์หลากหลาย และเข้าใกล้กับเป้าหมายชีวิตในอนาคตมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้อ่านรู้สึกดีกับตัวเอง ไม่เพียงเท่านั้นการนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกสงบเป็นหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่แข็งแรง

 3.ฝึกสมาธิเป็นกิจวัตร

 ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการฝึกสมาธิ คือ การช่วยให้มีโฟกัสและรู้จักเนื้อแท้ของตัวเอง ช่วยลดระดับความเครียดและขจัดความกังวลทั้งหลาย การฝึกสมาธิเป็นประจำทุกวัน ผู้ฝึกจะมีจิตใจที่สงบ รู้จักควบคุมตัวเอง มีความหยั่งรู้ ทำให้สามารถเรียนรู้ คิด และวางแผนสิ่งต่าง ๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากสามารถตัดสิ่งที่มารบกวนจิตใจได้

4.ออกกำลังสมอง


  ร่างกายต้องการการออกกำลังกายเพื่อให้ฟิตแอนด์เฟิร์ม สมองก็เช่นเดียวกัน การท้าทายสมองให้ทำสิ่งใหม่ ๆ ทุกวันจะช่วยเพิ่มความสามารถและทำให้ฉลาดขึ้น น้อง ๆ สามารถฝึกสมองได้ด้วยหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การเล่นโซโดกุ ปริศนาตามหน้าหนังสือพิมพ์ เกมกระดาน และปริศนาคำทาย กิจกรรมดังกล่าวจะช่วยสร้างความเชื่อมโยงของสมอง ผู้เล่นจะได้เรียนรู้การตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ในลักษณะที่มีความสร้างสรรค์ พัฒนาความสามารถในการมองเห็นให้มองได้หลายมุมมอง และมีสมองมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 5.ออกกำลังกายก็เป็นเรื่องสำคัญ

 สมองก็คือกล้ามเนื้อในร่างกายเช่นเดียวกับส่วนอื่น ดังนั้นการมีร่างกายที่แข็งแรงก็เป็นเครื่องการันตีว่าสุขภาพสมองดี การออกกำลังอย่างเป็นประจำนอกจากจะช่วยให้สุขภาพดีแล้วยังช่วยลดความตึงเครียดและทำให้นอนหลับง่าย ทางการแพทย์เชื่อว่า การไหลเวียนของโลหิตที่ดีไปยังสมอง หมายถึง สมองมีการทำงานที่เพิ่มขึ้น จากการศึกษาในหนูและมนุษย์ ได้แสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายสามารถสร้างเซลล์สมองใหม่ และทำให้ประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของสมองดีขึ้น

 6.เรียนรู้ภาษาที่สาม

 การเรียนรู้ภาษาใหม่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าทำได้น้อง ๆ จะได้รับประโยชน์มหาศาล หนึ่งในนั้นก็คือ ทำให้ดูฉลาดขึ้น กระบวนการของการเรียนรู้ดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์โครงสร้างไวยากรณ์และการทำความรู้จักคำศัพท์ใหม่ ๆ ซึ่งจะเป็นการท้าทายสมอง และนอกจากนี้จากผลการวิจัยพบว่า คนที่มีทักษะทางภาษาระดับสูงจะสามารถวางแผน ตัดสินใจและแก้ไขปัญหาได้ดี

 7.ระบายความรู้สึกผ่านตัวหนังสือ

นอกจากการเขียนบ่อย ๆ จะเป็นการเพิ่มทักษะทางภาษาแล้ว ยังช่วยพัฒนาความสามารถในเรื่องของการโฟกัส ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ และความเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องเขียนลงในกระดาษเท่านั้น สามารถเขียนที่ไหนก็ได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเขียนลงบนมือ หรือแม้แต่สร้างบล็อกของตัวเองขึ้นมา

 8.ท่องเที่ยวในที่ใหม่

 การท่องเที่ยวไปตามที่ต่าง ๆ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การลดความเบื่อหน่ายเท่านั้น แต่มันสามารถขจัดความเครียดที่สั่งสมได้ด้วย เชื่อกันว่าหลังจากที่กลับจากทริปจะโฟกัสกับสิ่งที่ทำมากขึ้น ช่างสังเกต และมีความเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องที่สนใจ นอกจากนี้ทุกสถานที่ที่ได้ไปยังเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้ตัวเอง ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ทั้งผู้คน อาหาร วัฒนธรรม และสังคม คุณจะได้ไอเดียที่ไม่มีทางได้จากห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ

 9.ลองทำเมนูอาหารหลากหลาย

 คนที่ลองทำอาหารเมนูแปลกไปจากปกติ มักเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่กลัวที่จะ ลองสิ่งใหม่ ๆ และเป็นคนที่มีความใส่ใจในเรื่องของรายละเอียด สิ่งที่คุณจะได้จากการทำอาหาร คือ สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้หลากหลาย มีความแม่นยำ และตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ขอบคุณที่มา : http://www.lifehack.org/310690/taking-these-10-hobbies-will-make-you-smarter ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก : ผู้จัดการออนไลน์

อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : TerraBKK.com - http://terrabkk.com/?p=123109

งานประจำ ต้องทำไปถึงเมื่อไหร่


สำหรับใครหลายคน “งานประจำ” มันฟังดูเข้าท่าดี เพราะรู้สึกได้ถึงความมั่นคง สิ้นเดือนก็มีเงินใช้ แต่หลายๆ คนสิ้นเดือนอาจเหมือนสิ้นใจ “รายจ่าย” ที่รออยู่มันทำให้เงินเดือนที่หามาได้ในแต่ละเดือนหมดไปอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับบางคนงานประจำอาจไม่ใช่คำตอบของชีวิต หลายคนคิดว่าตนเองมีศักยภาพมากพอ และมองหาโอกาสอยู่เสมอ พอได้จังหวะก็ “กล้า” ที่จะก้าวเดินออกจากวิถีชีวิตมนุษย์เงินเดือน มาเป็น “ผู้ประกอบการ” หรือ เจ้าของกิจการในที่สุด
ผมมีตัวอย่างของคนสองคน.. คนแรกทำงานประจำและต้องพบเจอกับเรื่องการเมืองในที่ทำงาน จึงตัดสินใจลาออกมาทำกิจการส่วนตัว คนที่สองยังคงทำงานประจำที่เดิม เวลาผ่านไปหลายปีเมื่อคนสองคนมาพบกัน คนแรกเล่าเรื่องราวที่ตนประสบความสำเร็จในธุรกิจ แต่คนที่สองยังคงพูดถึงการเมืองในที่ทำงานเหมือนเดิม

 หลายคนคงคิดในใจว่า.. จะมีซักกี่คนที่จะประสบความสำเร็จเหมือนคนแรก บทความนี้จะช่วยให้ผู้เริ่มต้นคิดจะทำธุรกิจ ได้มีแรงบันดาลใจ และจุดประกายความสำเร็จให้เป็นจริงขึ้นมาได้ไม่ยาก ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้ แต่จะเป็นไปได้จริงหรือไม่สำหรับผมแล้วต้องมีส่วนผสมแห่งความเป็นไปได้ 3 ประการ คือ

1. ความใส่ใจในสิ่งที่ทำ ต้องมุ่งมั่นที่จะทำจริง ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

2. ความรู้ ต้องรู้จริงในสิ่งที่จะทำ และเข้าใจธรรมชาติของธุรกิจนั้นๆ เป็นอย่างดี ด้วยการใฝ่รู้ไม่สิ้นสุด

 3. ความรัก ต้องรักสิ่งที่จะทำ ธุรกิจที่เราจะทำ ถ้าเราไม่รักมัน มันก็จะไม่รักเราเช่นกัน ผมเชื่อว่าถ้าเราใส่ส่วนผสมแห่งความเป็นไปได้ลงไป “ความสำเร็จ” ย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม และหวังว่าบทความเล็กๆ นี้ จะช่วยจุดประกายความคิด ของผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง และสามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก “ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ต้องลงมือทำ” ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จดังที่ตั้งใจไว้นะครับ หมายเหตุ : ภาพประกอบบทความ บางภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาแต่อย่างใด

อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : TerraBKK.com - http://terrabkk.com/?p=131519

5 ข้อคิดดีๆ สู้ชีวิต ช่วงแย่ๆ


ในช่วงชีวิตเราทุกคน ย่อมต้องมีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา ซึ่งตอนขาขึ้นก็ดีมีความสุขสบายใจสบายกาย แต่เมื่อตอนขาลงนี่สิ ที่ปัญหาต่างๆจะรุมเร้าเข้ามาจนเราแทบจะทนไม่ไหว ไม่ว่าจะเลวร้ายหรือแย่แค่ไหน ก็อย่ายอมแพ้นะครับ พยายามฝ่าฝันไปให้ได้ และวันนี้เรามี ข้อคิดดีๆ ที่จะช่วยให้ผ่านช่วงที่แย่ๆไปได้มาฝากกันครับ

1.อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด

 เพราะเราทุกคนย่อมต้องผ่านช่วงเวลาเลวร้ายกันทั้งนั้น ทุกๆคนย่อมมีวันที่ดีและวันที่ไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในชีวิต ซึ่งปัจจุบันมีตัวอย่างอยู่มากมาย เช่น Steve Jobs , J.K. Rolling เป็นต้น ล้วนผ่านช่วงเวลาเลวร้ายของชีวิตมาด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งเหล่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมักเลือกที่จะไม่บ่น หรือเสียเวลาคิดว่า ทำไมต้องเกิดปัญหาด้วย แต่พวกเขานั้นจะยอมรับว่า “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด” และพยายามคิดและหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น หรือพยายามพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสนั้นเอง

2.ชีวิตเรามีทางเลือกเสมอ และ อย่ามองทุกอย่างให้เป็นปัญหา

สิ่งนึงที่เราต้องยอมรับคือ เราไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ หรือ ควบคุมสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ฉะนั้นเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น เราควรยอมรับและเลือกทางเดินต่อไปในชีวิตที่จะทำให้ตัวเราเองดีขึ้นจากสิ่งที่เป็นอยู่ อย่ามองว่าเป็นปัญหา เพราะมันจะเป็นปัญหาก็ต่อเมื่อเราคิดว่ามันคือปัญหา และอย่าคิดว่าเราไม่มีทางเลือก เพราะ “ชีวิตเรามีทางเลือกเสมอ” เช่น หากถ้าเรารู้สึกว่างานที่ทำอยู่มันไม่ใช่สำหรับเราเลย เราก็เลือกที่จะเปลี่ยนสายงานหรือเปลี่ยนงานใหม่ได้ แต่ต้องยอมรับความจริงที่ว่า ชีวิตเราที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เราเป็นผลมากจากเราเลือกเองด้วยนะครับ

3.ความล้มเหลวคือโอกาสที่จะได้เรียนรู้ และอย่าผิดหวังเมือ่ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ

 เพราะอาจจะมีสิ่งที่ดีกว่ารอเราอยู่ ความล้มเหลวถือเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จก็ว่าได้ เพราะเรามีโอกาสได้เรียนรู้จากความผิดพลาดแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข เพื่อพัฒนาต่อไปให้สำเร็จ ซึ่งอาจจะต้องผ่านช่วงเวลาล้มเหลวหลายครั้งหรือยาวนานก้แล้วแต่ละบุคคล แต่สำคัญว่าต้องก้าวข้ามความล้มเหลวไปให้ได้ การที่เราล้มเหลวหรือไม่ได้สิ่งที่หวังนี้ อย่าพึ่งผิดหวังไป เพราะอาจจะเป็นไปได้ว่ามีสิ่งที่ดีกว่ากำลังรอเราอยู่ก็เป็นได้ เช่น เพราะถูกไล่ออกจากบริษัท จึงทำให้คุณสร้างธุรกิจเอง จนประสบความสำเร็จในทุกวันนี้

4.เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้

 แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เพราะ ไม่มีคำว่า “เป็นไปไม่ได้” หากเรามีความพยายาม สิ่งต่างๆรอบตัวเรา เช่น สภาพอากาศ บุคคล เศรษฐกิจ และอื่นๆ คือสิ่งที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ หากแต่เราลองปรับทัศนคติที่ตัวเราเอง เพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งต่างๆรอบตัว หรือ พัฒนาตัวเองให้โดดเด่นขึ้นจนสามารถอยู่ร่วมกับสิ่งต่างๆได้อย่างเกิดประโยชน์และเป็นโอกาสแก่เราเอง สำคัญว่าเราต้องมีความพยายาม อดทนไม่ยอมแพ้ต่อสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น แล้วโอกาสก็จะเป็นของเรา

5.อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

จงมีความสุขในแบบของเราเอง เคยรู้สึกไหมว่า เวลาเราเอาตัวเราเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เรามักจะเป็นทุกข์ เพราะจะมองเห็นแต่ข้อดีของคนอื่นๆแล้วนำมาทำให้ตัวเราเองหมดกำลังใจ ซึ่งไม่ดีเลยและในความเป็นจริง เราทุกคนมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไปซึ่งทำให้ความสุขของแต่ละคนแตกต่างกันไปด้วย เพราะฉะนั้นเราไม่ควรนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เราจงมีความสุขในแบบของเราเอง แบบที่เราเป็นอยู่ แต่หากจะมองหรือเปรียบเทียบคนอื่นก็ขอให้เป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนาตัวเองต่อไปจะดีกว่าครับ จากข้อคิดทั้งหมดจะเห็นได้ว่า จะสุขจะทุกข์ ก็เริ่มจากใจและตัวเราเองครับ ไม่ว่าจะเจอช่วงแย่ๆแค่ไหนก็ตามขอให้ทุกๆคน มีสติ และอดทนไว้ครับ แล้วจะสามารถผ่านช่วงแย่ๆไปได้ สิ่งดีๆก็จะเข้ามา และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน ผ่านช่วงเวลาแย่ๆไปให้ได้ครับ

อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : TerraBKK.com - http://terrabkk.com/?p=133274

นักจิตวิทยาเผย 2 ปัจจัยที่คนอื่นใช้ตัดสินคุณ เมื่อพบคุณครั้งแรก

นักจิตวิทยาเผย 2 ปัจจัยที่คนอื่นใช้ตัดสินคุณ เมื่อพบคุณครั้งแรก

ตั้งแต่มนุษย์เกิดขึ้นมา มนุษย์เราก็เริ่มตัดสินคนอื่น ๆ ทั้งแบบที่ไม่รู้ตัว(จิตใต้สำนึก) และแบบที่รู้ตัว เราสามารถตัดสินคนอื่นได้ภายในไม่กี่วินาที แล้วมนุษย์เราใช้ปัจจัยอะไรบ้างในการที่จะตัดสินผู้อื่น?
Amy Cuddy ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำ Harvard Business School ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับ ความประทับใจแรก หรือ First Impression ร่วมกับนักจิตวิทยานาม Susan Fiske และ Peter Glick เป็นเวลายาวนานกว่า 15 ปี และได้พบรูปแบบที่ตายตัวของการปฏิสัมพันธ์นี้
Ammy Cuddy pic from Flickr
Cuddy เขียนไว้ในหนังสือเล่มใหม่ของเธอ “Presence” ว่า ผู้คนจะตอบคำถาม 2 คำถามนี้ ทันทีที่พวกเขาเจอคุณเป็นครั้งแรก
  • ฉันจะไว้ใจคน ๆ นี้ได้หรือเปล่า?
  • ฉันจะนับถือคน ๆ นี้ได้หรือเปล่า?  
นักจิตวิทยาเรียกสองสิ่งนี้ว่า ความอบอุ่น และ ความสามารถ ตามหลักการแล้วคุณจะอยากให้คนอื่นมองว่าคุณนั้นมีทั้งสองอย่าง
Photo Credit : TED Talks
Cuddy กล่าวว่าคนส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับ ความสามารถ มากกว่าโดยเฉพาะในบริบทของหน้าที่การงาน นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาอยากพิสูจน์ให้คุณเห็น ว่าพวกเขาก็ฉลาดและเก่งพอๆกับคุณ
แต่จริง ๆ แล้ว ความอบอุ่น หรือ ความคู่ควรแก่การไว้ใจ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดทีคนอื่นใช้ตัดสินเรา “หากเล่าถึงบรรพบุรุษของเรา” Cuddy กล่าว “การที่พวกเขาจะไว้ใจใคร ถือเป็นสิ่งสำคัญในการเอาตัวรอดมากกว่าสิ่งอื่น” หากเรามองย้อนไปที่มนุษย์ยุคหิน เราก็จะเข้าใจว่า การที่จะไว้ใจใครนั้นเป็นสิ่งสำคัญเอามาก ๆ เพราะสภาพชีวิตที่ค่อนข้างป่าเถื่อนทำให้พวกเขามีโอกาสถูกปล้นหรือถูกฆ่าสูง
Cuddy กล่าวว่า ความสามารถเป็นสิ่งสำคัญ แต่ในขณะเดียวกันคนเราจะมองเห็นความสามารถของกันและกันก็ต่อเมื่อได้ไว้ใจกันแล้ว นอกจากนี้ ถ้าคุณกังวลเรื่องความสามารถของตนมากเกินไป ก็อาจส่งผลเสียได้ อย่างเช่น พนักงานบริษัทที่เพิ่งจบใหม่มักจะให้ความสำคัญกับการถูกมองว่าเป็นคนเก่งและมีความสามารถ ทำให้พวกเขาไม่สุงสิงกับใครและไม่ชอบขอความช่วยเหลือ จนพวกเขาดูไม่เป็นมิตร ทำให้คนเหล่านี้มักได้รับการตอบรับจากคนอื่นในด้านลบ และมักจะไม่ได้รับงาน เพราะไม่มีใครในที่ทำงานไว้ใจพวกเขาเลย
“หากคุณต้องการจะพูดโน้มน้าวใครสักคน เพื่อให้เขาช่วยคุณหรือซื้อของ ๆ คุณ แต่เขากลับไม่ไว้ใจคุณ และคุณอาจจะต้องผิดหวัง หากในความเป็นจริงแล้ว อาจเป็นเพราะว่าเขามองว่าคุณเป็นคนเจ้าเล่ห์ก็ได้” Cuddy กล่าว
“ผู้ที่มีความอบอุ่น ความน่าไว้ใจ และมีความสามารถ ถือเป็นคนที่น่ายกย่อง แต่ก่อนจะโฟกัสที่ความสามารถนั้นคุณควรได้รับการไว้วางใจเสียก่อน แล้วความสามารถของคุณจึงจะกลายเป็นพรสวรรค์ ไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมที่ดูน่ากลัว”

25 กรกฎาคม 2559

5 พฤติกรรมที่ทำให้เศรษฐีที่ร่ำรวย แตกต่างจากคนทั่วไป



Timothy Sykes ผู้ประกอบการและนักเล่นหุ้นชื่อดังชาวอเมริกัน กล่าวว่าหนึ่งจุดประสงค์หลักในชีวิตของเขาก็คือ การได้สอน สร้างแนวคิด และแนะนำวิธีให้ผู้คนประสบความสำเร็จในชีวิต แต่นิยามของคำว่าประสบความสำเร็จของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไป โดยผู้คนส่วนมากจะนิยามคนที่ประสบความสำเร็จ ว่าเป็น เศรษฐี หรือผู้ที่ไม่เดือดร้อนเรื่องการเงินแล้ว เพราะฉะนั้นการที่เราจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จหรือเป็นเศรษฐีได้ เราจะต้องเรียนรู้จากพฤติกรรมของพวกเขา รู้ว่าพวกเขามีเคล็ดลับอย่างไร และสุดท้ายก็คือ การนำมาปรับใช้กับตัวเราเอง

และในวันนี้ เขาจะมาแชร์ในสิ่งที่เขาได้ศึกษามาจากเศรษฐีกว่าหลายท่าน ไม่ว่าตอนนี้สถานะทางการเงินของคุณจะเป็นอย่างไร หวังว่าเคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยคุณได้!

1. เศรษฐีขยันหมั่นเพียร



หลายคนคิดว่าการถูกล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่ๆ คือทางลัดไปสู่ความสำเร็จ ความมั่งคั่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วเงินกว่า 90% ที่ถูกรางวัลลอตเตอรี่จะหมดภายใน 5 ปีหรือน้อยกว่านั้น เหล่าเศรษฐีรู้ดีว่ามันไม่มีทางลัดทางไหนที่จะนำพาคุณไปสู่ความสำเร็จได้ นอกจากการทำงานอย่างหนักและต่อเนื่อง

Timothy Sykes กล่าวว่า “ผมคงไม่มีทางมายืนอยู่จุดนี้ได้ ถ้าในอดีตผมไม่ขยัน ผมไม่มีแม้แต่ผู้ให้คำแนะนำ เมื่อตอนที่ผมเริ่มเล่นหุ้นในช่วงมัธยมปลาย ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับผม ผมมีเวลาเหลือเฟือสำหรับไปเที่ยวกับเพื่อน เล่นวิดิโอเกม และอีกหลายอย่างมาก แต่ผมกลับเลือกที่จะมานั่งหน้าจอคอมและศึกษาชาร์จตลาดหุ้นเป็นหลายชั่วโมงต่อวัน ผมจะทุ่มเทให้กับงานก่อนเสมอ เพราะผมรู้ว่าผลลัพธ์ที่ได้มันต้องคุ้มค่าต่อการลงทุนครั้งนี้แน่ ตอนนี้ผมใช้ชีวิตอย่างที่ผมฝันไว้เพราะผมไม่กลัวที่จะทำงานหนัก”

2. เศรษฐีจดจ่ออยู่กับเป้าหมาย

มันไม่ใช่แค่การทำงานหนัก แต่คุณต้องทุ่มเททำงานหนักให้ถูกทาง Don’t work harder , work smarter!

ผมเคยเห็นใครหลายๆคนเปลี่ยนความฝันของตัวเองให้เล็กลง หรือลบมันทิ้งอย่างสิ้นเชิง เพียงเพราะความเห็นของคนอื่นที่บอกว่า คุณไม่มีทางทำได้ อย่าเอาความคิดของคนอื่นมาตัดสินความสามารถของตัวเอง ทุกคนต่างมีความฝันว่าจะเป็นเศรษฐี แต่จะมีคนกลุ่มนึงที่ทำไม่สำเร็จ เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถโฟกัสไปที่ความฝันและเป้าหมายของตัวเขาเองได้

3. เศรษฐีรู้วิธีบริหารความเสี่ยง


ผมคิดว่าการเล่นหุ้นคือหนึ่งในหนทางที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างการเงินที่มั่นคง ถ้าคุณรู้วิธีบริหารความเสี่ยง

ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่คุณจะต้องระมัดระวัง ผมไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ควรเผชิญหน้ากับเสี่ยง แต่คุณควรคำนวณทุกความเสี่ยงให้รอบคอบก่อนที่จะเผชิญกับมัน เช่นเดียวกับ การเล่นหุ้น การเล่นหุ้นคุณต้องคำนวณเรื่องความเสี่ยงและผลกำไรที่จะได้ พูดง่ายๆก็คือ คุณยอมเสี่ยงเท่าไหร่กับผลกำไรเท่านี้ คุณจะต้องคำนวนตัวเลขเหล่านี้อย่างรอบคอบก่อนที่จะลงทุน

คุณสามารถนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ถ้าความเสี่ยงมีมากกว่าผลประโยชน์ที่คุณจะได้ อย่าเสี่ยง แต่ถ้าผลประโยชน์มากกว่า คุณก็ควรลองเสี่ยงดู

4. เศรษฐีเป็นคนเอื้อเฟื้อ

ผมแนะนำให้คุณลองไปศึกษาแนวคิดจากเหล่าเศรษฐีใจบุญ เช่น Bill Gates, Warren Buffett, Carl Icahn และ Ken Langore เศรษฐีเหล่านี้จะมีแนวคิดที่ว่า “การให้สามารถทำให้เรารู้สึกดี พอๆกับการรับ”
Timothy Sykes นักเล่นหุ้นชื่อดัง กล่าวว่า “เมื่อไม่นานมานี้ผมเพิงเริ่มก่อตั้งองค์กรการกุศลที่มอบเงินสองล้านดอลลาร์คืนแก่ชุมชนของผม และต้องขอบอกเลยว่ามันรู้สึกดีมากๆ ผมน่าจะเริ่มตั้งองค์กรให้เร็วกว่านี้ ผมจึงตั้งใจจะทำโครงการนี้ไปเรื่อยๆเพื่อชดเชยให้แก่ช่วงเวลาที่เสียไปก่อนหน้านี้”

5. เศรษฐีไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้


ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญมาก เหล่าเศรษฐีชอบที่จะเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ เพราะพวกเขามักจะมองหาหนทางในการเพิ่มพูนทักษะและพัฒนาศักยภาพของตัวเอง พวกเขาอ่านหนังสือ ดูสารคดี เรียนรู้จากสื่อการเรียนรู้ต่างๆ และพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนที่เก่งๆเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล พวกเขารู้ดีว่าความรู้คือขุมพลังแห่งอำนาจ พวกเขาจึงไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้



ไม่ว่าตอนนี้คุณจะยืนอยู่จุดไหนก็ตาม คุณสามารถนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันของคุณ แล้วผลลัพธ์ที่ได้จะต้องคุ้มค่าอย่างมากกับความทุ่มเทของคุณแน่นอน ผมขอให้คุณโชคดีครับ ว่าที่เศรษฐี!

Source : Entrepreneur

50 วิธี กิจกรรมแก้เบื่อ ที่จะทำให้สาวๆและคู่รักของคุณ รักกันมากขึ้น





สารพัดอาหารสร้างสัมพันธ์

1. ทำขนมเค้กกินกันสองคน ลองสมมุติว่าเป็นคืนพิเศษที่คุณสองคนได้เป็นทองแผ่นเดียวกันอีกครั้ง แล้วก็ผลัดกันป้อนเค้กที่คุณทั้งสองช่วยกันทำดูสิ

2. กินไอศครีมที่อยากกิน พักเรื่องความกังวลเกี่ยวกับน้ำหนักตัวไปก่อนนะคะ แล้วกินไอศครีมที่อยากกินให้หนำใจไปเลย

3. ไปซื้อของในซุปเปอร์มาทำกับข้าวทานกัน เป็นกิจกรรมแก้เบื่อที่ดีเลย

4. แข่งกันกินว่าใครกินได้เยอะกว่ากันเวลาเงียบ ๆ พักผ่อนสบายสไตล์สองเรา

5. เล่นเกมเศรษฐีที่บ้าน แต่เล่นใส่ลูกเล่นเข้าไปเช่น เกมเศรษฐีเปลื้องผ้า

6. รวบรวมรูปเก่า ๆ แล้วมาทำอัลบัมรูปพร้อมตกแต่งตามสไตล์ของคุณทั้งสองคน ขอบอกก่อนเลยนะว่ากิจกรรมนี้คุณผู้ชายก็ทำได้แถมยังเพลินได้ไม่แพ้ผู้หญิงด้วย

7. ซื้อหนังสือที่คุณทั้งสองอยากอ่านเหมือนกัน แล้วก็อ่านพร้อมกันจะได้มาพูดคุยวิจารณ์รายละเอียดของหนังสือกัน

8. ลองมาเช็คตามเว็บไซต์ว่าคุณยังเป็นคู่ที่เหมาะสมกันอยู่หรือเปล่า (ถ้าได้คำตอบที่ไม่น่าพอใจนัก ก็ถือซะว่าเว็บที่คุณใช้ คำถามและระบบประมวลผลไม่ดีละกันนะ)

9. เขียนคำถามเกี่ยวกับตัวเองคนละสัก 10 ข้อ แล้วลองสลับกันถามดู แล้วดูว่าใครได้คะแนนสูงกว่ากัน ส่วนบทลงโทษนั้นคุณก็คิดเอาเองแล้วกันค่ะ

10. ต่อจิ๊กซอร์มาราธอน 1,000 ชิ้น ไม่เสร็จไม่เลิกกันเลยทีเดียว

11. เอาอัลบัมรูปเก่า ๆ มาดูด้วยกันเพื่อนึกถึงความหลังกิจกรรมนอกบ้านสร้างความสวีทให้คู่อื่นอิจฉาเล่น

12. แข่งกันช็อป แต่มีกติกาว่าใครซื้อของได้สวยกว่าถูกกว่าคนนั้นชนะไปเลย

13. เตรียมอาหารใส่ตะกร้าไปปิคนิกกลางสวน ที่สำคัญอย่าลืมเช็คพยากรณ์อากาศก่อนน่ะ

14. ขึ้นรถโดยสารนั่งชมเมืองด้วยกัน ถือว่าวันนี้เป็นนักท่องเที่ยวด้วยกันสักวัน

15. ไปสำรวจธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นไปสวนสัตว์ หรือสวนพฤกษศาสตร์

16. ไปนอนดูดาวกัน จะโรแมนติกทั้งทีอย่าลืมพกไวน์ สตอเบอร์รี่ และช็อกโกแลตใส่ตะกร้าไปด้วยนะ
Advertisement


หยุดสุดสัปดาห์กระตุ้นรัก

17. เว้นกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งหลายในวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อมานั่งดูหนังที่อยากดูอยู่ที่บ้าน ดูไป กินขนมไป กอดกันไป สวีทจะตาย

18. เข้าพักโรงแรมหรูเพื่อปรนเปรอทั้งคุณและสุดที่รักของคุณด้วยบริการระดับ 5 ดาว

19. ไปนอนเล่นพักผ่อนริมหาด หากคุณออกจากบ้านเช้าหน่อยก็จะได้เลือกมุมเงียบ ๆ ไม่ต้องไปแย่งกับคนอื่น

20. ไปเยี่ยมญาตินอกเมืองด้วยกัน

21. ล่องเรือสำราญย์ให้สนุกผ่อนคลายหลังทำงาน

22. จับมือเดินเล่นริมแม่น้ำเพื่อคลายเครียดหลังจากผ่านวันหนัก ๆ จากที่ทำงาน

23. จองสปาแล้วไปผ่อนคลายกันสองคน

24. หรือไม่งั้นก็สลับกันนวดที่บ้านเพื่อประหยัดเงิน แถมเพิ่มความโรแมนติกได้มากกว่า

25. ไปสถานที่ที่คุณออกเดทกันครั้งแรกเพื่อนึกถึงความหลัง

26. เพิ่มดีกรีความโรแมนติกโดยย้อนกลับไปยังสถานที่ที่สามีขอคุณแต่งงาน สามีอาจจะพูดอีกครั้งให้คุณเขินเล่นก็ได้

อยากทำอะไรก็ทำไม่ต้องวางแผนมากมาย

27. จองตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวใกล้ ๆ ในแถบเอเชียที่คุณไม่เคยไปมาก่อน ไม่ต้องวางแผนอะไรมากนักหรอค่ะ แค่ตั๋วเครื่องบินกับโรงแรม ที่เหลือค่อยตัดสินใจอีกทีเมื่อไปถึงแล้วหากิจกรรมทำด้วยกัน

28. เริ่มทำงานอดิเรกด้วยกัน เช่น ไปเต้นลีลาสด้วยกัน เล่นกีฬา หรือไปเรียนวาดรูปด้วยกัน

29. ดูแลสุขภาพด้วยการสมัครฟิตเนสด้วยกัน จะได้ออกกำลังกายหลังเลิกงานพร้อมกัน

30. ทำความสะอาดบ้านด้วยกันแล้วดูว่าอะไรที่เก็บทิ้งได้บ้าง

31. ไปบ้านเด็กกำพร้าหรือบ้านพักคนชราด้วยกันเพื่อบริจาคเงินและสิ่งของ

32. คุยกับที่รักผ่านสไกป์ (Skype) ตอนช่วงพักเที่ยง ดูแลปรนบัติซึ่งกันและกัน

33. เหล่าภรรยาทั้งหลายฟังทางนี้นะคะ อุทิศ 1 วันเต็ม ๆ ให้เป็นของคุณสามี ไว้ดูแลรับใช้คุณสามีประดุจราชา ที่สำคัญคือ ห้ามขัดใจเด็ดขาด

34. คุณสามีก็ต้องอุทิศ 1 วันเต็ม ๆ ให้กับภรรยาที่รักเพื่อปรนนิบัติเธอเยี่ยงราชินีผู้สูงค่าเช่นกัน เพื่อให้ภรรยาของคุณมีความสุขเต็มที่สักวันนะ

35. สร้างเซอร์ไพร์สด้วยการทำอาหารเช้าจานโปรดของสุดที่รักของคุณ เสิร์ฟพร้อมดอกไม้และช็อกโกแลตถึงเตียงนอน

36. ซื้อของที่สุดที่รักอยากได้มานานแต่ยังไม่มีโอกาสได้ซื้อ คุณอาจจะใช้วิธีสั่งออนไลน์โดยสังเกตปฏิกิริยาของคู่คุณเวลาที่ของมาส่งถึงมือหน้าประตูบ้าน

37. คุณสามีลองซื้อช็อกโกแลตและดอกไม้ให้ภรรยาของคุณเนื่องในวันธรรมดาวันหนึ่งดูสิคะ ถ้าเธอถามว่าเนื่องในโอกาสอะไร ก็บอกไปเลยว่า เนื่องในโอกาสอยากจะให้ หรือเพราะผมรักคุณ

38. คุณภรรยาลองทำอาหารแสนอร่อยเหมือนคุณกำลังฉลองอะไรสักอย่างให้สามีทานดู แล้วถ้าเขาถามว่าเนื่องในโอกาสอะไร ก็บอกไปในทำนองเดียวกันนั่นแหละ

39. แช่อ่างอาบน้ำที่โรยกลีบดอกได้ด้วยกัน 2 คน เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงยืนยาว

40. เตรียมรองเท้าวิ่งให้พร้อมแล้วออกไปวิ่งกันตอนเช้าสองคน คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการเริ่มต้นวันดี ๆ แบบนี้แล้วละ

41. ลองทำกิจกรรมที่ท้าทายตัวเองอย่าง เล่นบันจี้จั๊ม นั่งบอลลูน หรือแข่งมอร์เตอร์ไซต์ดูสิ

42. วิ่งการกุศลด้วยกัน เพราะนอกจากจะได้ทำบุญแล้ว ยังได้ออกกำลังกายด้วยกันอีกด้วย

43. ย้อนอดีตกลับคืนสู่วัยเด็กด้วยการไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกัน ลองท้าให้อีกฝ่ายเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวดู

44. เล่นวิดีโอเกมด้วยกัน อาจจะสู้กันเองหรือรวมตัวกันเป็นทีมสู้กับฝ่ายตรงข้ามก็ได้สนุกกับวัฒนธรรมและการศึกษา

46. ลองซื้อบัตรเพื่อชมการแสดงละครเวทีสักเรื่องที่คุณทั้งสองสนใจ

47. การแสวงหาความรู้เป็นเรื่องที่ทำได้ตลอดชีวิต ทำไมไม่ลองสวมบทบาทเป็นนักเรียนดูสักวันแล้วไปนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดด้วยกัน

48. ดื่มด่ำกับการเข้าชมนิทรรศการศิลปะ จริง ๆ แล้วงานศิลปะไม่ได้สงวนไว้เฉพาะคนที่ชอบงานศิลปะเท่านั้น ลองสวมบทบาทเป็นนักวิจารณ์งานศิลปะสักวันดูนะคะ

49. ไปพิพิธภัณฑ์ด้วยกัน เพื่อชื่นชมศิลปะและประวัติศาสตร์ร่วมกัน

50. ไปศูนย์วิทยาศาสตร์ด้วยกัน เพื่อไปดูความมหัศจรรย์ของวิทยาศาสตร์และลองทำผลการทดลองต่าง ๆ ดู รับรองคะว่าไม่มีใครแก่เกินเรียน

จาก 50 ข้อนี้ สาวได้ซักข้อที่จะเป็นกิจกรรมแก้เบื่อของคู่ของคุณรึยัง


ที่มา : women.mthai.com

อย่าแต่งงาน!! จนกว่าจะตอบคำถามครบ 40 ข้อนี้


ถ้าคุณโสดและต้องการที่จะหาคนรู้ใจเพื่อใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้ง ชีวิต คงต้องศึกษาทั้งเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึกและจิตใจ ว่ามีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน หากคุณทราบความต้องการแน่ชัดก็จะทำให้สิ่งที่จำเป็นในชีวิตนั้นชัดเจนยิ่ง ขึ้นทั้งต่อตั้วเองและคนรักค่ะ

เนื่องจากคนเรามักจะดึงดูดคนที่มีระดับเท่าเทียมกับตัวเรา มันคือปัจจัยพื้นฐานที่พวกเรารวบรวมคุณลักษณะของบุคคลที่เราต้องการไว้ในคู่ ของพวกเรา มี 7 หัวข้อที่สำคัญที่จะใช้บอกลักษณะของคนที่เป็นคู่ที่ดีของคุณ แล้วทำให้คุณมั่นใจว่าคุณก็มีสิ่งนี้เช่นกัน



ลักษณะนิสัย (Character)



คุณต้องการคู่ที่สามารถเปิดใจเรียนรู้ในเรื่องของฝ่ายตรงข้าม และเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันเมื่อเกิดปัญหาขัดแย้งใช่หรือไม่? เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างความรักของคุณได้อย่างลงตัว
คุณต้องการคู่ที่มีบุคลิกที่น่าสนใจและมีความโตเป็นผู้ใหญ่ ให้คำปรึกษา เล่าเรื่องราวต่างๆ รวมถึงพูดถึงเรื่องปัญหาความสัมพันธ์ใช่หรือไม่ เพราะทุกๆ ความสัมพันธ์จะมีประสบการณ์จากปัญหาบางปัญหา และกลายเป็นเปิดรับความช่วยเหลือในความสัมพันธ์ที่แตกต่าง หรือสิ้นสุดความสัมพันธ์ได้ใช่หรือไม่
คุณต้องการคู่ที่ใจดี ใส่ใจ เห็นอกเห็นใจ รวมไปถึงมีความซื่อสัตย์ เข้าใจความยากลำบากของคนอื่น ไว้ใจได้ และมีศีลธรรมจรรยาใช่หรือไม่
คุณต้องการคู่ที่จะทำให้เขาและเธอมีความสุขไปกับคุณใช่หรือไม่
คุณต้องการคู่ที่อารมณ์ขัน หัวเราะง่าย และสนุกสนานในเวลาที่อยู่กับคุณใช่หรือไม่
คุณต้องการคู่ที่สนิทสนมกับสมาชิกในครอบครัวและคนที่มีเพื่อนสนิทใช่หรือไม่
คุณต้องการคู่ที่มีแรงผลักดัน มีระเบียบวินัยในตัวเอง มีความสามารถ และทำงานอย่างหนักใช่หรือไม่
คุณต้องการคู่ที่ชอบในชีวิตของตนเองใช่หรือไม่


ลักษณะทางกายภาพ (Physical Appearance)

ในขณะที่รูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้เป็นพื้นฐานในความสัมพันธ์ด้านความรัก แต่ความพอใจพื้นฐานของพวกเราก็ยังต้องการคนที่มีลักษณะที่ดี

9. คุณสนใจมั้ยว่าคู่ของคุณสูงเท่าไหร่
10 คุณต้องการคู่ที่มีน้ำหนักเท่าไร และชอบออกกำลังกายมากแค่ไหน
11 คุณชอบคนที่เนี้ยบหรือชอบคนลุยๆ


ระดับการศึกษาและสติปัญญา (Education and Intellect)
แต่ละคนมีสิทธิ์ในการตัดสินใจว่าอะไรคือสิ่ง ที่เราต้องการ ดังนั้นมันเป็นสิ่งที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ว่าคุณชอบที่จะเป็นผู้นำหรือผู้ตามมากกว่ากัน

12. ระดับความรู้และระดับการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณใช่หรือไม่
13. สำหรับบางคนระดับการศึกษาในระดับมัธยมก็เป็นสิ่งสำคัญ ว่าเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษา โรงเรียนสาขาอาชีพ หรือศึกษาเอง
14. สิ่งสำคัญที่ว่าคู่ของคุณจบการศึกษาระดับวิทยาลัย หรือบัณฑิตศึกษา




การใช้ชีวิต (Lifestyle)

15. คุณต้องการมีลูกด้วยกันกับคู่ของคุณใช่หรือไม่
16. คุณต้องการอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ อพาร์ทเม้น หรือคอนโด
17. คุณต้องการอาศัยอยู่ในชนบทหรือในเมือง
18. คุณสามารถอยู่กับคนที่ชอบทำบ้านสกปรกได้ไหม จะอยู่กับคนที่เรียบร้อยอย่างไร ในหลายๆ ปัญหาที่ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กแบบนี้ แท้จริงแล้วเป็นปัญหาใหญ่สำหรับหลายๆ คู่เลยค่ะ
19. คุณต้องการที่จะอยู่กับใครสักคนที่ชอบทำอาหารได้ไหม
20. คู่ของคุณมีความรู้ในเรื่องเครื่องจักร และมีความสามารถในการซ่อมบางสิ่งบ้างหรือเปล่า
21. คุณต้องการคู่ที่สามารถดูแลบ้าน และทำในสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ไหม ? อย่างเช่นการไปซื้อของเข้าบ้าน
22. คู่ของคุณรักสุขภาพไหม?
23. คุณรับประทานอาหารออแกร์นิค มังสวิรัติ กำลังควบคุมอาหาร หรือรับประทานได้ทุกอย่าง
24. คุณต้องการคู่ที่ออกไปทำงานนอกบ้าน หรือเป็นนักกีฬาชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง
25. คุณต้องการคู่ที่มีรายรับเท่ากับคุณหรือมีรายรับน้อยกว่าคุณ ความสำเร็จทางการเงินคือสิ่งที่สำคัญกับคุณใช่ไหม
26. คุณต้องการคู่ที่มีความกระตือรือร้นในการทำงานไหม
27. คุณเห็นความสำคัญของงานที่คู่ของคุณทำหรือไม่






คุณค่า (Values)

28. คุณเป็นพวกต่อต้านการทำแท้งใช่หรือไม่ คุณคิดยังไงเกี่ยวกับการคุมกำเนิด และการล่าสัตว์
29. การเมืองสำคัญกับคุณหรือไม่ คู่ของคุณต้องการความเป็นเสรีนิยม อนุรักษ์นิยม ไม่ชอบอยู่ใต้บังคับบัญชาใคร หรือไม่สนใจการเมือง
30. คุณต้องการที่จะอยู่ในความสัมพันธ์แบบดั้งเดิม ความสัมพันธ์แบบมีคู่ครองคนเดียว ความสัมพันธ์ตามหลักศาสนาที่มีคู่ครองได้หลายคน หรือความสัมพันธ์แบบเปิด
31. คู่ของคุณจำเป็นต้องใช้ศาสนาเดียวกับคุณไหม ถ้าเป็นเช่นนั้นคุณจะทำอย่างไร
32. ถ้าคุณไม่ได้นับถือศาสนา คู่ของคุณจะรู้สึกอย่างไร จะเป็นอะไรไหมถ้าไม่นับถือศาสนาและไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง
33. คุณรักสัตว์ไหม ต้องการเลี้ยงสุนัขและแมวหรือเปล่า
34. คุณใส่ใจสภาพแวดล้อมหรือเปล่า
35. คุณต้องการคู่ที่มักบริจาคเงินและสิ่งของให้องค์กรการกุศลหรือเปล่า ชอบเก็บเงิน หรือชอบใช้เงิน
36. คุณต้องการคู่ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นนักธุรกิจ หรือเป็นคนที่อยู่ในแวดวงครีเอทีฟ หรือว่าต้องการคู่ที่ทำงานใช้แรงงานมากกว่า หรืออยากอาศัยอยู่ในไร่ ในฟาร์มมากกว่า



ใช้สารเสพติด (Substance Use)
เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดีสำหรับเรา

37. คุณรู้สึกอย่างไรกับคนที่สูบบุหรี่
38. คุณรู้สึกอย่างไรกับคนที่ดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ในระดับปานกลางหรือ ดื่มอย่างหนัก จะเป็นอะไรไหมหากคู่ของคุณเป็นคนที่ไม่ชอบดื่มเลย
39. คุณยอมรับคนที่ใช้กัญชาได้หรือไม่
40. คุณยอมรับคนที่ใช้สารเสพติดได้หรือไม่

สิ่งที่สำคัญคือ คุณไม่จำเป็นต้องพบทุกสิ่งที่คุณต้องการจากคนๆ เดียวเท่านั้น แต่การสำรวจความรู้สึก ความปรารถนา และการลำดับความสำคัญเป็นสิ่งที่จำเป็นมากกว่า แนะนำให้ลองทำรายการบันทึกสิ่งที่ตัวเองต้องการและไม่ต้องการให้เกิดขึ้นกับ ความสัมพันธ์ของคุณ เพราะการทำเช่นนี้จะทำให้เราเห็นความต้องการที่ชัดเจนมากของตนเองยิ่งขึ้น ค่ะ





ที่มา: mindbodygreen

7 วิธี พัฒนาการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเหนื่อยน้อยลง







ความพยายามเป็นสิ่งสำคัญ แต่การรู้ว่าจะต้องพยายามอย่างไรหรือเมื่อไหร่ก็สำคัญไม่แพ้กัน ดั่งคำคมที่ว่า
DON’T WORK HARDER ,  WORK SMARTER
ไม่จำเป็นต้องทำงานให้หนักขึ้น แต่จงทำงานอย่างฉลาด
มาเริ่มที่การบริหารเวลาในแต่ละวัน สร้างนิสัยที่จะช่วยแยกแยะว่าอะไร สำคัญมากสำคัญน้อย การมีวินัย และการวางแผน สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น โดยที่ไม่เสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์

มีช่วงพักเบรก

 

อาจจะฟังดูแปลกๆ แต่การมีช่วงพักระหว่างวันในการทำงานนั้น จะช่วยทำให้คุณทำงานได้ดียิ่งขึ้นจริงๆ การพักเบรกยังดีต่อสุขภาพของคุณอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นงานอิสระหรืองานออฟฟิศก็ตาม การลุกจากโต๊ะมาเดินบ้างจะช่วยลดอาการตาล้าและป้องกันอาการเส้นเลือดขอดที่ขาได้
มีงานวิจัยพบว่าการพักจากงานเพียงแค่ 5 นาที ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คุณกลับมาโฟกัสกับงานได้อีกครั้ง ให้ลองพักดูบ้างเมื่อเริ่มเหนื่อยล้าจากงาน และไม่ควรดื่มกาแฟมากเกินไป ถ้าอยากรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ให้หาของกินที่เพิ่มพลังสมองแทนจะดีกว่า

กำหนดกิจวัตรประจำวันให้ติดเป็นนิสัย

สิ่งที่เราทำกันเป็นประจำในชีวิตประจำวัน มักจะเป็นสิ่งที่ติดเป็นนิสัย ดังนั้นถ้าเราสร้างนิสัยที่ดีต่อสุขภาพ ก็จะทำให้ประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องพยายามหรือรู้สึกเหนื่อยมากกว่าเดิม และการคุ้นเคยในการทำสิ่งเดิมๆซ้ำ ในเวลาและสถานที่เดิมๆนั้น ก็จะส่งผลให้เราทำสิ่งๆนั้นได้ดียิ่งขึ้น
เริ่มต้นวันของคุณด้วยการมีกิจวัตรยามเช้า อย่างเช่น การจดบันทึกยามเช้า (Morning pages) ทำสมาธิ หรือ ออกกำลังกาย มันสามารถช่วยให้คุณมีสมาธิที่ดีขึ้น การเริ่มต้นวันใหม่ที่ดีนั้น ควรเริ่มตั้งแต่การเตรียมตัวล่วงหน้าในคืนก่อนหน้าของวันดังกล่าว
สิ้นสุดวันทำงานของคุณด้วยวิธีใกล้เคียงกัน ปิดออฟฟิศ ทำความสะอาดโต๊ะทำงานเพื่อจะได้เริ่มทำงานในเช้าวันใหม่ได้อย่างสดชื่น ไม่ว่าคุณจะทำงานที่บ้านหรือออฟฟิศก็ควรมีกิจวัตรบางอย่างที่เป็นเครื่องหมายเพื่อแสดงว่าการทำงานสำหรับวันนี้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว

กำหนดเวลา “ห้ามรบกวน”

ส่วนที่ดีและแย่ที่สุดของการทำงานที่บ้าน ก็คือการทำงานที่บ้านนี่แหละ เพราะสมาชิกร่วมบ้านสามารถเดินเข้าออกห้องทำงานของคุณระหว่างทำงานอยู่เพียงเพื่อ “คุยเล่น” หรือถกเรื่องเล็กๆน้อยๆ ดังนั้นจงแสดงออกให้ชัดเจนว่าคุณไม่ต้องการถูกรบกวนในช่วงเวลาทำงาน ยกเว้นว่าจะเป็นเหตุด่วนจริงๆ ซึ่งคุณสามารถทำเช่นเดียวกันนี้ได้ แม้คุณทำงานในออฟฟิศ โดยบอกกับเพื่อนร่วมงาน ว่าคุณไม่อยากถูกรบกวนในตอนนี้

เช็คอีเมล์และโซเชียลมีเดียในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น

 

เชื่อว่าหลายท่านที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ก็เป็น พวกท่านเช็คอีเมล์และโซเชียลมีเดียหลายๆครั้งต่อวัน ปัญหาก็คือการแวบเข้าไปดูบ่อยๆ จะทำให้คุณเสียสมาธิ และต้องใช้เวลาเกือบ 25 นาทีกว่าจะเลิกวอกแวกและกลับมาโฟกัสกับงานเหมือนเดิมได้   ปิดการแจ้งเตือนอีเมลและกำหนดเวลาเช็คประจำวันไว้ หนึ่งครั้งตอนเช้าและอีกครั้งหนึ่งตอนบ่าย ทำเช่นเดียวกันกับโซเชียลมีเดีย

ทำรายการสิ่งสำคัญที่ต้องทำ 3 อันดับแรก

การวางแผนในแต่ละวันล่วงหน้าเป็นสิ่งที่ต้องทำหากคุณอยากทำงานต่างๆให้เสร็จเรียบร้อยทันเวลา แต่แทนที่จะทำรายการสิ่งที่ต้องทำแบบยืดยาว ให้ลองทำรายการแค่สามข้อที่สำคัญที่สุดแทน โดยการจำกัดรายการให้เหลือแค่สามข้อที่สำคัญที่สุดเท่านั้น มันจะทำให้รายการของคุณไม่ล้นเกินไปและสามารถจัดการได้ง่ายขึ้น

บริหารระบบการจัดการเวลาของตัวเองให้ดี

 

สมุดแพลนเนอร์คือตัวช่วยสำคัญ คุณไม่ควรมองข้ามการจดสิ่งต่างๆลงไปในกระดาษ มีงานวิจัยออกมาสนับสนุนว่าการจดสิ่งต่างๆด้วยลายมือตัวเอง ช่วยให้จำสิ่งนั้นได้ดีขึ้น และข้อดีอีกอย่างก็คือ การตกแต่งหน้าสมุดแพลนเนอร์นั้นสามารถช่วยสร้างแรงบันดาลได้อีกด้วย
ถ้าคุณไม่ชอบเขียน ก็มีอีกทางเลือกนึงก็คือแอพพลิเคชั่นและเว็บไซต์ อย่างเช่น Trello  ที่คุณสามารถแยกบอร์ดและการ์ด แปะป้ายสีและใส่รายละเอียดระบุลงในการ์ดแต่ละใบได้ตามต้องการ แอพพลิเคชั่นนี้สามารถช่วยทำอะไรได้นับไม่ถ้วนเลย

จัดระเบียบพื้นที่ทำงานของคุณ

 

การจัดระเบียบให้กับโฟลเดอร์งานหน้าเดสก์ท็อปหรือ cloud-based จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาไปได้มากทีเดียว จัดการอีเมล์ของคุณด้วยการติดป้ายกำกับสำหรับ Gmail หรือสร้างแฟ้มแบ่งกลุ่มถ้าคุณใช้ Outlook เพื่อทำให้ทุกอย่างสะอาดตาและไม่ยุ่งเหยิง และแนะนำอีกนิดก็คือควรเรียนรู้วิธีใช้คีย์ลัดแทนการใช้เมาส์ด้วย
นอกจากพื้นที่ทำงานออนไลน์แล้ว อย่าลืมจัดระเบียบให้กับออฟฟิศจริงๆของคุณด้วย กำหนดเวลาประจำวันสำหรับการกำจัดเศษกระดาษเก่าๆ (เช่น บ่ายวันศุกร์) เก็บใบเสร็จและใบกำกับสินค้าต่างๆ ใส่ในตู้หรือกล่องเก็บเอกสารการมีพื้นที่ทำงานที่เรียบร้อยจะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีสมาธิขึ้น

การทำงานอย่างชาญฉลาดไม่ใช่แค่การใส่ใจกับงานมากขึ้นหรือมีแอพพลิเคชั่นและโปรแกรมที่ทันสมัยเป็นตัวช่วยเท่านั้น แต่คุณต้องรู้ข้อจำกัดและข้อด้อยของตัวเองด้วย เพื่อจะได้ออกแบบระบบการทำงานที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด หากคุณดูแลและรับผิดชอบงานของตัวเองได้ดีขึ้น คุณก็จะทำงานได้มากขึ้นด้วยเวลาที่น้อยลง!

Source : Life Hack

10 แนวคิดดี ๆ ในการสร้างตัวให้กลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน






การจะสร้างเนื้อสร้างตัวให้เติบโตเป็นเศรษฐีเงินล้านได้นั้น แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงอย่างนั้น ผู้ที่เคยผ่านจุดที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จมาแล้ว ขั้นตอนที่ไปสู่จุดนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ ขอเพียงทำตามกฎและคำแนะนำต่าง ๆ ที่มีการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยปั้นมืออาชีพมาได้ ถ้าหากคุณมีความตั้งใจที่จะประสบความสำเร็จในฐานะเศรษฐีเงินล้านคนหนึ่งล่ะก็ แนวคิดที่กำลังจะนำเสนอต่อไปนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรเพิกเฉยเลยทีเดียว

1. ทำทุกอย่างให้เป็นการแข่งขัน


 

ถ้าลองได้ถามเศรษฐีผู้สร้างฐานะขึ้นมาเองกับมือว่า อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาตัดสินใจก้าวเข้ามาสู่เส้นทางนี้ แน่นอนว่าคำตอบส่วนใหญ่ของพวกเขาจะไม่ใช่ “เพื่อสร้างเงินล้าน” แน่ ๆ เนื่องจากสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้คนเหล่านี้ มักจะเป็นเรื่องราวของการตามล่าความฝันของตัวเอง จนกระทั่งก้าวไปสู่ในจุดที่เรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จในแบบฉบับของพวกเขานั่นเอง

2. ไม่นิ่งนอนใจ

ต่อให้ปีนขึ้นไปถึงจุดที่สูงสุดในชีวิต ก็ไม่ควรจะหยุดคิดว่า “เอาล่ะ! เท่านี้ก็พอแล้ว หยุดพักงานได้!” เพราะถึงแม้คุณจะทำเงินล้านได้แล้ว ก็ใช่ว่าจะเงินทองจะไม่หายไป ดังนั้นอย่าได้นิ่งนอนใจไป คุณควรตั้งเป้าหมายใหม่อีกครั้ง เพื่อสร้างชีวิตที่ดียิ่งขึ้นต่อไป

3. เรียนรู้ให้มาก ทำงานให้หนักกว่าใครๆ

 

ต่อคุณให้มีพรสวรรค์สูงเทียมฟ้า หรือจะเก่งกล้ามาจากไหน คุณก็ไม่มีทางไปถึงฝั่งฝันได้หากคุณไม่ยอมไขว่คว้าหาความรู้และมุ่งมั่นตั้งใจทำงานอย่างหนัก กล่าวคือ การจะเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จได้นั้น ยังไงก็ต้องผ่านถนนแห่งความสุดแสนลำบากยากทนไปให้ได้เสียก่อน

4. ให้ความผิดพลาดเป็นบทเรียน

ชีวิตกับความผิดพลาดเป็นของคู่กัน วันหนึ่งวันใดยังไงก็ต้องมีพลาดมีล้มกันบ้าง ประเด็นคือ ถ้าล้มให้เป็นก็จะมองเห็นความสำเร็จได้ไม่ยาก หากว่าล้มขึ้นมา อย่าได้สิ้นหวังหรือตีอกชกตัวไป ให้ พิจารณาความล้มเหลวนั้น แล้วเรียนรู้จากปัญหาว่าเพราะเหตุใดถึงได้พลั้งพลาด ปัดความเศร้าทิ้งไปแล้วลุกขึ้นเดินใหม่อย่างสง่างามจะดีกว่า

5. อ่านหนังสือทุกวันอย่างสม่ำเสมอ

 

จะกล่าวขานสรรพคุณของการอ่านอย่างไรก็คงไม่มีวันหมด บอกได้เพียงว่า ขอให้อ่านทุกเวลาที่มีโอกาส อย่าได้ละทิ้งการอ่านไป หรือหาเรื่องราวน่าสนใจใหม่ ๆ มาอ่าน จะได้ตื่นตัวตามยุคตามสมัยให้ทัน เพราะการเปลี่ยนแปลงมักเกิดขึ้นอย่างลับ ๆ และฉับพลันชั่วพริบตาเสมอ หากยังคุณยังมองหาหนังสือดี ๆ อ่านไม่ได้ ทางทีมงานประสบความสำเร็จได้รวบรวมไว้ให้แล้วใน 10 หนังสือน่าอ่าน ที่จะช่วยส่งเสริมให้คุณประสบความสำเร็จในชีวิต

6. รักษาสุขภาพกายและจิตใจให้ดี

การออกกำลังกายและฝึกฝนจิตใจให้มีสุขภาพที่ดีเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการประสบความสำเร็จเลยก็ว่าได้ อย่าลืมออกกำลังกายให้เป็นประจำและสม่ำเสมอ ทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ โดยไม่ลืมการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอด้วยนะ

7. ใกล้ชิดกับคนที่ฝักใฝ่ความสำเร็จคล้ายๆ กับคุณ

 

การคบค้าสมาคมกับผู้คนบางประเภทอาจส่งผลเสียต่อคุณได้อย่างคาดไม่ถึง อย่าลืมเหลียวซ้ายแลขวา ดูให้แน่ใจว่าผู้คนรอบ ๆ ต่างมีความคิดเห็นหรือเป้าหมายใกล้เคียงกัน ได้รับแรงบันดาลใจและฝักใฝ่ในการไปสู่ความสำเร็จแบบเดียวกับคุณ เนื่องจากการอยู่กับผู้คนที่มีความตั้งใจเหมือนกันจะช่วยเป็นแรงผลักดันและสร้างความมุ่งมั่นได้อย่างดีเยี่ยม พยายามหลีกเลี่ยงบุคคลที่ไม่ค่อยเอาการเอางาน เพราะผู้ที่ดีแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ นั้นจะไม่ช่วยพาคุณไปถึงฝันอย่างแน่นอน

8. ตั้งตนเป็นผู้ให้ ดูแลใส่ใจคนที่รัก

ก่อนหน้านี้พูดถึงการดูแลสุขภาพกายและใจของตนเองไปแล้ว แต่ก็ยังไม่แคล้วต้องห่วงสุขภาพจิตเสียบ้าง อย่าได้ละเลยโลกใบเล็กที่หมุนเวียนวนอยู่รอบตนเอง เพราะยังมีคนอีกมากที่อาจต้องการความช่วยเหลือ ที่สำคัญคืออย่าลืมใส่ใจดูแลคนที่รักให้ดี เพราะชีวิตที่ประสบความสำเร็จจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อได้มีความสุขไปพร้อมๆ กับคนที่รักเท่านั้น หรืออาจจะบริจาคสิ่งของแก่ผู้ยากไร้ที่ต้องการการหยิบยื่นโอกาสให้ รับรองว่าจะช่วยปรับเปลี่ยนมุมมองรวมถึงพื้นฐานความคิดในการทำงานไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

9. ทำตนให้ซื่อสัตย์และโปร่งใส

การโกหกตลบแตลงไม่เคยพาใครไปสู่ฝั่งฝัน ดังนั้น ขอให้ยึดมั่นกับความซื่อสัตย์ ซื่อตรง และโปร่งใสไว้เสมอ แม้จะฟังดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่กลับเป็นข้อปฏิบัติที่สำคัญหาใดเปรียบ เนื่องจากมันจะนำไปสู่การเป็นผู้ประสบความสำเร็จอย่างมืออาชีพในระยะยาว

10. มองการณ์ไกล มากกว่าใฝ่ ผลระยะสั้น

 

ผู้คนส่วนใหญ่มักให้ความสนใจกับความสำเร็จระยะสั้นไว้ก่อน เช่นว่า “ฉันอยากจะมีเงินเท่านั้นเท่านี้ภายในปีหน้า” แต่อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญกว่า ก็คือการให้มองภาพรวมใหญ่ ๆ ไว้ด้วย วาดภาพเลยว่าอยากจะให้ทั้งชีวิตออกมาแบบไหน เนื่องจากเป้าหมายระยะยาวนั้นสามารถเป็นแรงผลักดันให้ใครต่อใครก้าวไปสู่จุดที่จะรู้สึกพึงพอใจอย่างแท้จริง รวมถึงสามารถก่อร่างสร้างสิ่งที่เป็นความสำเร็จครั้งใหญ่แก่ชีวิตและครอบครัวได้
เป็นเรื่องแน่นอนที่ระหว่างทางในการสร้างตัวสร้างตนให้เป็นมหาเศรษฐีเงินล้านนั้น จะต้องประสบพบเจอกับอุปสรรคนานัปการ แต่หากว่าสามารถทำตามข้อแนะนำเหล่านี้ได้ ในขณะเดียวกันก็หมั่นเรียนรู้จากความสำเร็จของนักล่าฝันคนอื่น ๆ ล่ะก็ รับรองว่าคุณจะมีอาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมสรรพไว้เตรียมรับมือกับปัญหาต่าง ๆ และพาตัวเองไปถึงเป้าหมายเงินล้านได้อย่างที่คาดไว้แน่นอน
 Source : Entrepreneur