30 พฤศจิกายน 2559

7 วิธีการเลือก “อาชีพที่ใช่” สำหรับคน Gen Y



มาลองวิเคราะห์ 7 วิธีหลัก ๆ ที่เหล่าคน เจนวาย(Gen Y) ใช้ในการตัดสินใจเลือกอาชีพให้กับตัวเองดูสิ แล้วจะรู้ว่าคุณเองก็สามารถเลือก ‘งานที่ชอบและอาชีพที่ใช่’ ได้เช่นกัน

1. พิจาณาดูว่าตัวเองชอบการทำงานแบบไหน

ทำงาน
บางคนชื่นชอบการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ ในขณะที่บางคนอาจชอบการทำงานแบบฉายเดี่ยว แต่ไม่ว่าคุณจะชอบแบบไหน อย่างน้อยก็ขอให้แน่ใจว่าชอบจริงๆ เพื่อที่ว่าคุณจะสามารถเลือกงานได้อย่างตรงใจตัวเองที่สุด เพราะหากไม่รู้ว่าตัวเองชอบแบบไหนแล้ว ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้เช่นกัน ที่จะหาสภาพแวดล้อมในการทำงาน ที่จะทำให้คุณมีความสุขได้

2. ตั้งเป้าหมายของรายได้ที่ต้องการ

แม้ว่าการเลือกอาชีพ ไม่ควรยึดเรื่องเงินเดือนเป็นหลัก แต่อาจเป็นการง่ายกว่า หากคิดไว้แล้วว่าตัวเองอยากจะได้งานรูปแบบไหนในช่วงเงินเดือนใดที่ตั้งไว้ การเริ่มต้นแบบนี้อาจช่วยในการตีวงอาชีพให้แคบลงได้

3. หาวันหยุดให้ตัวเองสักช่วงหนึ่ง

พักผ่อน
ลองหยุดสักพักเพื่อตามหาประสบการณ์ใหม่ๆ เพราะยังมีอะไรให้ได้ลองผิดลองถูกอีกมาก สำหรับคนที่ยังตามหาตัวเองไม่เจอ ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร อยากทำตอนไหน หรือนานแค่ไหนนั้น ถ้าจะให้ดี ควรชั่งใจกับตัวเลือกที่คุณมีอยู่ให้ดีๆ ก่อนที่จะลงมือทุ่มเทพยายามกับมันในระยะยาว

4. ลองทำแบบประเมินตนเอง

บางครั้งเราก็ไม่อาจรู้ได้ว่าความสามารถของเรามีอยู่มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากยังไม่เคยมีใครมาลองท้าทายเลยสักครั้ง ดังนั้นจึงควรลองทำแบบทดสอบเพื่อประเมินคุณลักษณะเฉพาะตัวและรูปแบบในการทำงานที่เหมาะสมของตัวเองดู แล้วลองหาทางขัดเกลาคุณลักษณะนั้นๆ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งลองคิดหาตัวเลือกในการทำงานที่เหมาะกับความเป็นตัวเราให้มากที่สุด มากกว่าจะเป็นแค่เส้นทางทั่วๆ ไปที่ใครๆ ก็เลือกเดิน

5. ลองทำสิ่งใหม่ๆ

ลองทำสิ่งเล็กๆ สิ่งใหม่ๆ ที่อาจไม่ใช่สิ่งที่อยากทำจริงๆ ดู เนื่องจากการได้รู้จักสิ่งที่ไม่ชอบมากขึ้น ย่อมหมายถึงการได้รู้จักความชอบของตัวเองมากขึ้นเช่นกัน อาจฟังดูเชยสักหน่อย แต่รับรองว่าช่วยได้และให้ผลชัดอย่างแน่นอน

6. รู้ว่าตนเองถนัดอะไร

present
การรู้ว่าตนเองถนัดอะไร ทำอะไรได้ดี ล้วนสามารถพัฒนาทักษะของคุณให้ก้าวไปได้ไกลขึ้นได้เช่นกัน ดังนั้น หากการทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดมากๆ แล้วมีความสุข ก็ควรจะพัฒนาและทำสิ่งนั้นให้สุดไปเลย เนื่องจากการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบและถนัด ย่อมเป็นสิ่งที่สมควรทำอยู่แล้ว

7. อดทนเข้าไว้

การอดทนรอคอยเพื่องานที่ชอบและอาชีพที่ใช่นั้น อาจเป็นสิ่งที่ยากที่สุด แต่กลับเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นที่สุดในระยะยาว ดังนั้น ควรอดทนเข้าไว้ แล้วรอดูว่าชีวิตของคุณจะก้าวไปสู่เส้นทางแบบไหน ไม่แน่ว่าคุณอาจประหลาดใจกับอนาคตอันสดใสที่รออยู่ข้างหน้า

Source : Inc

27 พฤศจิกายน 2559

งานวิจัยเผย “คนชอบคิดมาก” มักเป็นคนฉลาดและมีความคิดสร้างสรรค์



ในสังคมสมัยใหม่ การแปะป้ายตัดสินคนอื่นว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้ โดยมองเพียงแค่พฤติกรรมและลักษณะนิสัยของเขา กลายเป็นเรื่องที่ทำกันทั่วไปเป็นปกติ เนื่องจากสังคมสมัยนี้มีทั้ง คนชอบเก็บตัว(Introvert) คนชอบเข้าสังคม(Extrovert) คนที่อยู่ก้ำกึ่งระหว่างสองประเภทนี้ (Ambivert) คนขี้กังวล และอื่นๆ อีกตั้งมากมาย
และสำหรับคนที่ชอบวิตกกังวลนั้น มีงานวิจัยที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน เปิดเผยว่า การมีนิสัยขี้กังวลและคิดมาก ทำให้คนเหล่านี้มีความคิดสร้างสรรค์และความคิดที่พัฒนาไปไกลกว่าคนอื่นมาก
โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย King’s College ในกรุงลอนดอน ก็ได้ให้ความเห็นไว้เช่นกันว่า อาการวิตกกังวลเกินไปนั้น มีความสัมพันธ์กับการมีจินตนาการที่สูงด้วย

การวิตกกังวล เป็นต้นกำเนิดของปัญญา

คิดมาก
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีส่วนมาก เริ่มมาจากการที่มนุษย์เรากังวลว่าจะอดอยากในอนาคต กลัวถูกเผ่าอื่นโจมตีและขโมยข้าวของไป ไม่ก็กลัวว่าเทพเจ้าจะพิโรจน์ต่อการกระทำของพวกตน และอีกมากมาย สิ่งที่ทำให้คนคิดมากแตกต่างจากคนอื่นๆ ก็คือ จินตนาการ นั่นเอง พวกเขาเห็นหนทางในการเอาตัวรอดจากอันตรายและการพัฒนาตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่น การรักษาความปลอดภัยของบ้าน ในความคิดของคนส่วนใหญ่มักเป็นการล็อคประตูหน้าบ้านและหน้าต่างชั้นแรกก็เพียงพอแล้ว ส่วนคนที่ห่วงความปลอดภัยขึ้นมาอีกหน่อยก็อาจวางไม้เบสบอล ไม้กอล์ฟไว้ใกล้ๆ ประตู หรือไม่ก็เตรียมปืนเก็บไว้ แต่คนที่ชอบวิตกกังวลจะไม่ได้คิดถึงแค่เรื่องอันตรายจากภายนอกเท่านั้น เขาจะคิดเผื่อว่า แล้วถ้าเด็กอาจจะไปเจอปืนเข้าและบาดเจ็บ หรือ มีโจรขโมยปืนไปตอนไม่มีคนอยู่บ้านล่ะ! จะทำยังไง? นั่นทำให้คนประเภทนี้หาวิธีเก็บอาวุธไว้ในที่ปลอดภัยจากคนอื่นมากที่สุด
แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่เกิดเรื่องอันตรายร้ายแรงอะไรขึ้น แต่การมีจินตนาการสูงเช่นนี้ก็ทำให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ต่างๆ มากขึ้น และเตรียมพร้อมรับมือได้ด้วย

จินตนาการเสมือนจริง ช่วยปกป้องมนุษย์จากภัยอันตรายของธรรมชาติและสัตว์ป่า

ในยุคสมัยใหม่ คนที่ชอบวิตกกังวลจะสรรหาวิธีสร้างสรรค์มากมายเพื่อจัดการกับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่เรื่องงาน และเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับตัวเอง แต่ในยุคโบราณนั้น กลไกการเอาตัวรอดทำให้บรรพบุรุษของเราสร้างจินตนาการเสมือนจริงขึ้นมา แม้ในฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ ผู้คนไม่ขาดแคลนอาหาร พวกเขาก็ยังจินตนาการไปถึงการขาดแคลนอาหาร การต้องการที่พักอาศัย ความอบอุ่น อุณหภูมิที่จะเพิ่มสูงขึ้นในฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามา
ดังนั้น พวกเขาจึงต้องหาอาหารเพื่อกักเก็บไว้สำหรับฤดูหนาว แล้วคิดวิธีถนอมเนื้อสัตว์และพืชผักเหล่านั้นขึ้นมา นี่ถือเป็นกลไกการเอาตัวรอดด้วยการจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่แย่ที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว

นักคิดและศิลปินระดับโลกมากมาย มีนิสัยคิดมากและขี้กังวล

ดร. อดัม เพอร์คินส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา ได้กล่าวไว้ว่า ผู้คนที่ร่าเริงและมองโลกในแง่ดีจะไม่มานั่งครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ เราจะสังเกตเห็นว่า เหล่านักคิดหรือบุคคลอัจฉริยะมากมายมักดูไม่มีความสุขเลย พวกเขามักครุ่นคิดวิตกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแปลว่าพวกเขาค่อนข้างมีความสเถียรทางอารมณ์ที่น้อยกว่าคนทั่วไป ลองนึกถึงชีวิตของไอแซค นิวตัน, ชาร์ลส์ ดาร์วิน, วินเซ็นต์ แวน โกะห์ หรืออย่าง จอห์น เลนนอน ที่เขาเคยกล่าวไว้ว่า ‘Genius is pain’ หรือ ‘ความอัจฉริยะคือความเจ็บปวดอย่างหนึ่ง’ ซึ่งเป็นคำพูดที่ถ่ายทอดให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างความคิดสร้างสรรค์และความไม่เสถียรทางอารมณ์ได้ดีที่สุด
มันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรที่คนเราจะทดลองฝึกฝนจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา และเป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำหากมันช่วยทำให้เราได้ลองฝึกคิดอะไรต่างๆ ให้รอบคอบยิ่งขึ้น ซึ่งไม่แน่ว่าคุณเองก็อาจจะค้นพบแนวคิดหรือไอเดียอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาก็ได้

Source : LifeHack

25 พฤศจิกายน 2559

“ความเป็นผู้นำ” เกิดขึ้นได้อย่างไร?



“อะไรที่ทำให้คนเรากลายมาเป็นผู้นำที่ดีได้?”

ในแนวคิดเชิงธุรกิจเรามักจะพบกับคำถามแบบนี้อยู่เป็นประจำ มีหนังสือจิตวิทยาตั้งมากมายที่มีการตีพิมพ์เกี่ยวกับความเป็นผู้นำ แต่น้อยเล่มนักที่จะให้คำนิยามคำว่า “ความเป็นผู้นำ” ได้อย่างแท้จริง ดังนั้น เรามาดูกันดีกว่าว่า ความเป็นผู้นำนั้น แท้จริงแล้วเป็นกันได้อย่างไร?

ความเป็นผู้นำไม่ได้เกิดจากความอาวุโส หรือตำแหน่งภายในองค์กร

เป็นความเข้าใจผิดที่คนส่วนใหญ่มักคิดว่าความเป็นผู้นำภายในองค์กรนั้นต้องเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงๆ แต่อันที่จริงแล้ว ตำแหน่งก็เป็นเพียงตำแหน่ง ๆ หนึ่งเท่านั้น การมีความเป็นผู้นำไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะคุณได้เลื่อนตำแหน่งงานที่สูงขึ้น แต่มันล้วนเกิดขึ้นจากตัวคุณเองทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะทำงานในตำแหน่งใดก็ตาม

ความเป็นผู้นำไม่จำเป็นต้องมาพร้อมกับตำแหน่ง

เหมือนกับข้อด้านบน เพียงแค่คุณได้รับตำแหน่งที่สูงกว่า ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเป็นผู้นำได้ เรามักจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำขององค์กร แต่แท้จริงแล้วทุกคนสามารถเป็นผู้นำที่ดีได้โดยไม่ต้องมียศตำแหน่งใดๆ เลย อย่างเช่น เป็นผู้นำในงานที่ทำ เป็นผู้นำชุมชนที่อาศัยอยู่ หรือแม้แต่เป็นผู้นำที่ดีของครอบครัว เป็นต้น

ความเป็นผู้นำไม่จำเป็นต้องทำเหมือนผู้นำคนอื่นๆ

เท้า กางเกง เดิน
เมื่อพูดถึงคำว่า “ผู้นำ” คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึง การยืนอยู่เหนือบุคคลอื่น การเป็นคนที่สามารถสั่งให้ลูกน้องทำนู่นนี่นั่นได้ ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ แต่อย่าลืมว่ายุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว การเป็นผู้นำที่ดีไม่จำเป็นต้องทำตามสิ่งที่ผู้นำคนอื่นๆ ทำ
บางคนอาจชี้นิ้วสั่งลูกน้องให้ทำสิ่งต่างๆ โดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย แต่บางคนก็อาจเป็นคนที่ก้าวไปพร้อมกับลูกน้อง เป็นทีมเดียวกันและช่วยแก้ปัญหาร่วมกัน ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าแบบหลังได้ใจลูกน้องไปเต็มๆ ดังนั้น การเป็นผู้นำที่ดีจึงต้องสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อตัวเองและดีต่อผู้ตามด้วย

ความเป็นผู้นำไม่จำเป็นต้องมีทั้งการบริหารและการปกครอง

ข้อนี้สำคัญมาก คำว่า “ความเป็นผู้นำ” และ “การจัดการ” ไม่ใช่คำๆ เดียวกัน เช่นสมมติว่าคุณมีลูกน้อง 15 คน แน่นอนว่าคุณจำเป็นต้องมีระบบบริหารจัดการที่ดีระดับหนึ่ง และในฐานะผู้จัดการคุณจะต้องมีการวางแผน คำนวณ ติดตาม ประสานงาน แก้ปัญหา ฯลฯ ซึ่งผู้บริหารมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับสิ่งเหล่านี้
แล้วถ้าเป็นผู้นำละ? ผู้นำที่ดีจะเคารพในเสียงและความคิดเห็นส่วนใหญ่ของลูกน้อง แล้วจึงค่อยพิจารณาว่าสิ่งไหนต้องมีการแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนเพิ่มเติม

มาดูคำนิยามของคำว่า ผู้นำ ของเหล่าคนประสบความสำเร็จกัน

PETER DRUCKER กล่าวว่า “คำนิยามเดียวของผู้นำ ก็คือ คนที่มีผู้ตาม”
จริงหรือ? นี่เป็นนิยามที่ยังไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก ยกตัวอย่าง หัวหน้ากองกำลังทหารมีกำลังพลลูกน้องอยู่ 200 นาย นายทหารคนนี้ไม่เคยออกจากห้องทำงานมาเจอหรือพูดคุยกับลูกน้องเลย มีเพียงแต่คำสั่งที่สั่งผ่านนายทหารระดับรองลงมาแค่นั้น และบางทีลูกน้องก็ทำผิดคำสั่งอยู่บ้าง ถามว่าหัวหน้าคนนี้เป็นผู้นำจริงไหม หรือแท้จริงแล้วเขาเป็นเพียงแค่คนสั่งการเท่านั้น
WARREN BENNIS กล่าวว่า “ความเป็นผู้นำ คือคนที่สามารถเปลี่ยนวิสัยทัศน์ให้กลายเป็นความจริง”
ดูเหมือนว่าสิ่งที่เบนนิสพูด ก็ยังไม่ใช่เท่าไหร่นัก ยกตัวอย่าง คุณมักนึกถึงการลงมือทำสวนสวยๆ (วิสัยทัศน์) และคิดว่าผักสวนครัวที่คุณปลูกอยู่นั้นมันจะต้องเป็นไปได้สวยแน่ๆ แต่ถามว่าคุณเป็นผู้นำไหม? ก็ยังไม่ใช่ ไม่มีสาเหตุอะไรที่บ่งชี้ว่าคุณเป็นผู้นำเลย
บิล เกตส์
BILL GATES กล่าวว่า “ในศตวรรษข้างหน้า ผู้นำคือคนที่จะสร้างผู้นำคนอื่นๆ”
ดูเหมือน คำว่า “ผู้นำคนอื่นๆ” ของ บิลล์ เกตส์ ก็ยังไม่ครอบคลุมซะทั้งหมด
 JOHN MAXWELL กล่าวว่า “ความเป็นผู้นำ คือการมีอิทธิพลเหนี่ยวนำผู้อื่น ไม่มากไป แต่ก็ไม่น้อยไป”
แมกซ์เวลล์นิยามไว้ได้ดีมาก แต่ยังไม่ครบซะทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ผู้จัดการ หรือ หัวหน้างาน ย่อมมีอิทธิพลต่อการทำงานของลูกน้องได้เช่นกัน แน่นอนว่าบุคคลทั้งสองมีอิทธิพลในการเหนี่ยวนำบุคคลอื่นๆ แต่การเหนี่ยวนำของบุคคลทั้งสองก็ไม่ใช่สิ่งที่บอกถึงความเป็นผู้นำแต่อย่างใด

แล้วอะไรคือคำนิยามที่แท้จริงของ “ความเป็นผู้นำ” ?

ผู้ชาย หนวด ผู้นำ
ความเป็นผู้นำ คือ กระบวนการเหนี่ยวนำทางสังคมโดยอาศัยความสามารถ ความพยายาม และกำลังใจที่อยู่ในตัวบุคคลอื่นๆ เพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายสูงสุด
และอย่าลืมว่า…
  1. ความเป็นผู้นำ เกิดจากการมีอิทธิพลทางสังคม ไม่ใช่อิทธิพลในการใช้กำลัง
  1. ความเป็นผู้นำ ย่อมต้องมีผู้ตาม แต่ไม่ได้หมายถึงผู้ใต้บังคับบัญชาหรือลูกน้อง
  1. ยังมีสิ่งที่ไม่ได้กล่าวถึงอีกมากของคุณสมบัติด้านอื่นๆ ในตัวบุคคล ที่ส่งผลให้เกิดภาวะความเป็นผู้นำ
  1. การบรรลุเป้าหมายสูงสุดเกิดขึ้นเองไม่ได้ มันต้องมีการวางแผนมาก่อนแล้ว
ความเป็นผู้นำ คือสิ่งที่มีผลต่อการลงมือทำ อย่ามัวเอาแต่หาคำนิยามของมัน เพราะไม่มีใครที่จะมอบความเป็นผู้นำให้คุณได้ นอกจากตัวคุณเองจะสร้างมันขึ้นมา

Source : talentsmart

24 พฤศจิกายน 2559

16 สิ่ง ที่คนประสบความสำเร็จวัยหนุ่มสาว มักทำ ‘ในเวลาว่าง’



เราทุกคนล้วนมีคำจำกัดความของ “ความสำเร็จ” ที่ต่างกันไป แต่สำหรับคนที่มีอายุประมาณ 20 กว่าๆ คำจำกัดความของพวกเขามักเกี่ยวข้องกับ ความสุข สุขภาพที่ดี มีเครือข่ายสังคมที่ดี รวมถึงมีสมดุลชีวิตที่ดีด้วย
ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านกล่าวว่า พฤติกรรมและการใช้ชีวิตช่วงที่ว่างจากงาน มีส่วนสำคัญที่จะเป็นตัวตัดสินว่าคุณจะทำสิ่งเหล่านั้นให้สำเร็จได้หรือไม่?
Lynn Taylor ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพและนักเขียนหนังสือ Tame Your Terrible Office Tyrant: How to Manage Childish Boss Behavior and Thrive in Your Job.” กล่าวว่า “ถ้าเวลาหลังเลิกงานหรือช่วงวันหยุด คุณใช้เวลาไปกับการเติมพลังกายและใจ การให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายและการควบคุมอาหาร คือตัวบ่งบอกว่าคุณกำลังสร้างพฤติกรรมในชีวิตที่ดีที่จะทำให้คุณก้าวนำคนอื่นๆ ได้”
เธอกล่าวต่อว่า “มันคือการสร้างความสมดุลให้ตัวคุณเอง การมีร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง จะช่วยให้คุณทำงานได้ดีขึ้น และสร้างผลงานที่ดีให้กับคุณ อีกทั้งยังช่วยสร้างทัศนคติในแง่บวกให้กับทุกการทำงานด้วย” และนี่ก็คือ สิ่งสำคัญ 16 อย่าง ที่คนประสบความสำเร็จอายุ 20 กว่าๆ มักทำในเวลาว่าง

1. พวกเขาใช้เวลาว่างไปกับครอบครัวและผองเพื่อน

มันเป็นเรื่องปกติของคนในวัยนี้ ที่มักให้ความสำคัญกับคนที่พวกเขาแคร์ ซึ่งครอบครัวและเพื่อนคือทางเลือกที่ดีที่สุดในช่วงเลิกงาน หรือตอนมีเวลาว่างนั่นเอง

2. พวกเขามักออกกำลังกาย

คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตในวัยนี้หลายๆ คน ย่อมอยากมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และมักจะต้องการความตื่นเต้นเร้าใจในชีวิต โดยพวกเขามักเข้าฟิตเนสเป็นประจำ หรือแม้แต่เล่นกีฬาเอ็กสตรีมหลากหลายชนิด

3. พวกเขามักเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

พวกเขามักเป็นคนที่ช่างสงสัย รักการอ่านโดยใช้วิจารณญาณ และมักหาข้อมูลเพิ่มเติมในอินเทอร์เน็ตเพื่อหาความรู้ที่แท้จริงอยู่เสมอ

4. พวกเขาเป็นนักคิด ให้ความสำคัญกับความสำเร็จและความเป็นมืออาชีพ

คนที่มีอายุอยู่ในกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่แล้วมักให้ความสนใจกับสิ่งที่นักธุรกิจชื่อดังหรือบุคคลที่ประสบความสำเร็จในช่วงอายุเดียวกันนั้นทำ ทั้งในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ
ในช่วงเวลาที่พวกเขาว่างจากงาน พวกเขาจะพยายามประยุกต์ใช้แนวทางการทำงานของอาชีพนั้นๆ เข้ากับอาชีพของตน ไม่ใช่เพราะเงิน ที่จะทำให้พวกเขามีบ้านหรือรถที่หรูหรา แต่เพราะต้องการความแตกต่างและต้องการเสรีภาพทางอาชีพ ซึ่งเงินนั้นถือเป็นรางวัลจากผลงานเสียมากกว่า เพราะคนที่ประสบความสำเร็จมักรักและหลงใหลในสิ่งที่เขาทำ ทั้งในเวลาทำงานและเวลาว่าง

5. พวกเขามักเชี่ยวชาญในบางสิ่งบางอย่าง

Barry Saltzman ผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ทางธุรกิจและเป็น CEO ของบริษัท Saltzman Enterprise Group ได้ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Business Insider ว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จในช่วงอายุ 20 กว่าๆ มักรู้ว่าตัวเองมีความสามารถด้านไหนและมักเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ “หากมองในมุมมองของทั้งผู้เชี่ยวชาญและด้านการสร้างแบรนด์ การเชี่ยวชาญในแขนงใดแขนงหนึ่งนั้น มีความสำคัญมากต่อความสำเร็จ

6. พวกเขาใช้เวลานอกบ้านบ้าง

การชื่นชมธรรมชาติและหาเวลาทำกิจกรรมนอกบ้านยามว่าง ช่วยให้คนที่ประสบความสำเร็จทำงานได้ดีทั้งด้านร่างกายและจิตใจ นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยออกมาว่า ถ้าเปรียบเทียบระหว่างการเดินท่ามกลางความวุ่นวาย กับฝูงชนในเมืองหลวง และกับการใช้เวลาอยู่ในพื้นที่สีเขียวแล้ว การใช้เวลาชื่นชมธรรมชาติจะช่วยลดความตึงเครียดและสร้างสมาธิได้ดีกว่าอย่างแน่นอน
“คนที่ประสบความสำเร็จในวัยนี้ จะให้ความสำคัญกับธรรมชาติ และไม่มองว่ามันเป็นสิ่งไร้ค่า”

7. พวกเขาเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ และเลือกทานอย่างชาญฉลาด

เทเลอร์กล่าวว่า “การทานข้าวกับเพื่อน เป็นสิ่งที่คนกลุ่มนี้มักทำหลังเลิกงานหรือในวันหยุด และพวกเขาจะใส่ใจกับสิ่งที่พวกเขาทานและมักเลือกทานอาหารออร์แกนิคที่มีประโยชน์ การทำอาหารทานเองก็เป็นทางเลือกหนึ่งของหลายๆ คนด้วย”
การทานอย่างมีจุดมุ่งหมายสามารถส่งผลดีในระยะยาวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่ทำงาน ดังที่ Lisa De Fazio ผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดีและนักโภชนาการ ได้กล่าวกับ Business Insider ไว้ว่า อาหารเช้าและอาหารกลางวันของคุณ เป็นตัวกำหนดศักยภาพในการทำงานตลอดทั้งวันของคุณเลยทีเดียว

8. พวกเขาใส่ใจกับเครือข่ายสังคมของพวกเขา

คนที่มีอายุในช่วง 20 กว่าๆ มักเป็นผู้ที่มีเครือข่ายสังคมที่แน่นหนา และมักรู้ดีว่าการมีปฏิสัมพันธ์พูดคุยกับคนอื่น เป็นสิ่งสำคัญที่นำมาซึ่งความสุขในช่วงเวลาว่างของเขาด้วย

9. พวกเขาจะทำสิ่งต่างๆ โดยใช้สัญชาตญาณช่วย

Ryan Kahn ครูฝึกด้านอาชีพ ผู้ก่อตั้งบริษัท The Hired Group และผู้แต่งหนังสือ Hired! The Guide for the Recent Grad” กล่าวว่า “การที่คนเหล่านี้ใช้สัญชาตญาณ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า คุณสามารถคิดและตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ผู้นำควรมี”

10. พวกเขาชอบท่องเที่ยว

คนประสบความสำเร็จหลายคนมักหาทางไปเที่ยวในสถานที่ใหม่ๆ ไม่ก็ไปเยี่ยมเยียนเพื่อนหรือครอบครัวในช่วงที่ว่างจากงาน เนื่องจากพวกเขารักที่จะหาประสบการณ์ใหม่ๆ และรักที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับสถานที่ รวมทั้งวัฒนธรรมใหม่ๆ ด้วยนั่นเอง

11. พวกเขาจะหาเวลาทำงานอดิเรก

คนที่ประสบความสำเร็จจะรู้ว่าช่วงเวลาว่างนี่แหละ ที่เป็นช่วงเวลาที่ควรหันมาให้ความสนใจกับงานอดิเรกของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น การพบปะสังสรรค์เพื่อน การอ่านหนังสือ หรือแม้แต่การค้นคว้าทำในสิ่งที่สนใจ

12. พวกเขาสามารถจัดการกับการเงินของตัวเอง

แม้การรับประทานอาหารที่ดีและการท่องเที่ยวจะเป็นสิ่งที่สำคัญ คนประสบความสำเร็จวัยนี้จะรู้ดีเช่นกันว่า การเงินถือเป็นเรื่องที่สำคัญ อย่างที่ Business Insider เคยรายงานไว้ว่า เมื่อคุณยังอายุน้อยเวลาจะอยู่ข้างคุณเสมอ เพราะฉะนั้นการเริ่มเก็บออมและลงทุนไว้ล่วงหน้าจะช่วยให้คุณมีอนาคตที่ร่ำรวยอย่างแน่นอน

13. พวกเขาใจบุญ

เทย์เลอร์กล่าวว่า “ผู้ที่ประสบความสำเร็จในช่วงหนุ่มสาวนี้ มักจะมองโลกในแง่ดีกว่าคนทั่วไปมาก พวกเขาจะเน้นไปที่การกระทำ ไม่ใช่แค่คำพูด สิ่งเหล่านี้แหละที่จะช่วยนำมาซึ่งความสำเร็จ”
เธอกล่าวว่า มีหลายๆ คนตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงโลกไปในทางที่ดีขึ้นด้วย ตัวอย่างเช่น การสมัครเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

14. พวกเขาพัฒนาความคิดสร้างสรรค์

เทย์เลอร์กล่าวว่า “งานอดิเรกยามว่างที่ช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ เช่น เล่นดนตรี ฟังเพลง หรือแม้แต่ไปงานคอนเสิร์ต สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่คนที่ประสบความสำเร็จทำอยู่บ่อยๆ ในขณะเดียวกัน การวาดรูป การเขียนบล็อกในเรื่องที่สนใจ ก็สามารถทำให้เขาได้แสดงออกทางความคิดและความรู้สึกออกมาได้เช่นกัน”
งานวิจัยหนึ่งจาก San Francisco State University ชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่มักทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ นอกจากงานที่พวกเขาจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังมีแนวโน้มว่าบุคคลเหล่านี้ยังเข้าไปช่วยเหลืองานคนอื่นๆ ด้วย และยังมีวิธีคิดแก้ปัญหาโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่ดีกว่าคนที่ไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมประเภทนี้เลย

15. พวกเขามักมีอาชีพเสริม

Susie Moore นักเขียนและโค้ชทางด้านความมั่นใจ กล่าวว่า “อาชีพเสริม หรือ งานที่คุณทำยามว่าง ช่วยให้คุณเข้าถึงในสิ่งที่คุณสนใจได้ดี มันเป็นโอกาสที่คุณจะได้ใช้เวลาอยู่กับอะไรต่างๆ ที่คุณสนใจโดยที่ไม่ต้องลาออกจากงานปัจจุบันของคุณเลยด้วยซ้ำ”
เธอกล่าวว่าข้อดีของการทำอาชีพเสริม นอกเหนือจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ก็คือ ทำให้คุณได้พัฒนาความสามารถที่มีอยู่ให้มากขึ้น แม้ว่าคุณอาจจะไม่ได้ใช้ทักษะเหล่านี้ในงานหลักของคุณเลยก็ตาม

16. พวกเขาชาร์จพลัง

คนที่ประสบความสำเร็จในวัยนี้จะใช้เวลาว่างในการชาร์จพลังให้ตัวเองด้วยการพักผ่อน  เพราะพวกเขารู้ว่าการที่จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีสมาธิสูงได้นั้น ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ

Source : Business Insider


11 พฤติกรรมแย่ๆ ของคน“ไม่รู้จักบริหารเวลา



การไม่แบ่งเวลาสามารถทำให้วันธรรมดาๆ วันหนึ่งกลายเป็นวันที่แย่ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการลืมทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือถึงขั้นส่งงานล่าช้ากว่ากำหนด แต่ละคนจะมีวิธีการแบ่งเวลาไม่เหมือนกัน ซึ่งบางคนสามารถแบ่งเวลาได้ดี และบางคนก็กำลังค่อย ๆ เรียนรู้และปรับปรุงตัวเอง แต่ก็ยังมีคนอยู่บางกลุ่มที่มักทำอะไรล้มเหลวเป็นประจำ เนื่องจากการไม่รู้จักแบ่งเวลา
สิ่งสำคัญของการแบ่งเวลา คือ มันเป็นตัวกำหนดความสำเร็จของคุณ
ดังนั้น เราจึงไม่ควรละเลยในเรื่องนี้ เราไปดูกันเลยดีกว่า 11 พฤติกรรมของคนที่ไม่ยอมแบ่งเวลา นั้นมีอะไรบ้าง?

1. ไม่จัดตารางเวลา

คุณอาจคิดว่าคุณสามารถจัดการทุกอย่างได้ โดยไม่ต้องมีการวางแผนหรือจัดเวลาใดๆ
ถ้าคุณคิดแบบนี้ ผมขอบอกเลยว่าคุณกำลังคิดผิด! เพราะการจัดตารางเวลานั้นมีความสำคัญอย่างมาก มันสามารถทำให้คุณได้วางแผนจัดการสิ่งต่าง ๆ โดยละเอียด รวมทั้งบันทึกสิ่งที่คุณต้องทำในแต่ละวันโดยไม่ละเลยสิ่งใดไป ดังนั้น หากคุณไม่จัดตารางเวลาให้ดีล่ะก็ คุณก็จะเสียเวลาในการทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น และอาจลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไปได้ง่ายๆ

2. ไม่จดบันทึก

แพลนเนอร์
“การจดบันทึกเป็นสิ่งที่มักทำควบคู่ไปกับการวางแผน”
วิธีง่าย ๆ ในการจดบันทึกก็คือ จดบันทึกไว้ในอุปกรณ์ที่อยู่รอบตัวคุณ สิ่งไหนก็สามารถเป็นเครื่องมือจดบันทึกให้กับคุณได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นแพลนเนอร์ โทรศัพท์มือถือ ปฎิทิน หรือแม้แต่กระดาษโน๊ตต่างๆ แต่ผมมีเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ จะแนะนำ ให้คุณพยายามจดไว้ในที่เดียวกันจะดีกว่า เพราะเวลาเรียกใช้จะได้หาง่ายๆ และไม่ลืมว่าคุณจดไว้ที่ไหน

3. ไม่มีสมาธิกับสิ่งที่ทำอยู่

“คนที่ทำอะไรไม่สำเร็จส่วนใหญ่นั้น มักจะไม่มีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำอยู่”
หากคุณเป็นคนที่ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว เหม่อลอยและฟุ้งซ่านคิดแต่เรื่องอื่นบ่อยๆ สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัญหากับคุณได้ ดังนั้น คุณต้องหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้คุณนั้นวอกแวก และพยายามตั้งสติจดจ่อกับสิ่งที่คุณตั้งใจจะทำเข้าไว้

4. ชอบผลัดวันประกันพรุ่ง

มันก็เป็นเรื่องปกติที่คนเรามักผลัดวันประกันพรุ่ง แต่การผลัดวันประกันพรุ่งจนติดเป็นนิสัยไปแล้วนี่สิ คือสิ่งที่เป็นปัญหา หากว่าคุณขี้เกียจหรือมักหาข้ออ้างที่จะไม่ทำสิ่งใดๆ และบอกกับตัวเองว่า “เดี๋ยวค่อยกลับมาทำ” หรือ “ไว้ค่อยทำวันหลัง” มันคือสัญญาณที่ไม่ดีนัก คุณควรหาแรงจูงใจและรีบทำงานนั้นให้เสร็จ

5. ไม่มีกิจวัตรประจำวัน

กาแฟ
กิจกรรมต่างๆ ที่คุณทำเป็นประจำ มักจะช่วยกระตุ้นให้คุณมีแรงจูงใจในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการดื่มกาแฟยามเช้า ตลอดจนถึงการออกกำลังกายยามเย็น กิจกรรมเหล่านี้ล้วนช่วยจัดรูปแบบการใช้ชีวิตของคุณให้ดีขึ้นได้

6. ไม่แบ่งเวลาไปทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ

ps4
ชีวิตจะไปมีความหมายอะไร? ถ้าคุณเอาแต่ทำงานหนักลูกเดียว แต่ชีวิตไม่มีความสุข ฉะนั้นการแบ่งเวลาให้กับกิจกรรมที่ชอบจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ย้ำว่า “ต้องแบ่งเวลา” เพราะถ้าหากว่าคุณยุ่งมากจนไม่มีเวลาพักผ่อนเลย สุดท้ายคุณก็ต้องหยุดทำกิจกรรมเหล่านี้ไปด้วย

7. ลืมวันหยุดสุดสัปดาห์

“อย่าปล่อยให้วันหยุดของคุณนั้นว่างเปล่า”
คุณควรวางแผนว่าจะทำอะไรบ้างในวันหยุดเหล่านี้ การวางแผนให้กับวันหยุดจะทำให้คุณได้สำรวจการใช้เวลาของตัวเอง และจะส่งผลให้คุณใช้เวลาในการพักผ่อนอย่างคุ้มค่ามากที่สุด แถมได้ทำอะไรสนุกๆ มากมายตามแผนการที่วางเอาไว้

8. ไม่ตั้งเป้าหมาย

เป้าหมาย
“เป้าหมายในวันนี้มีอะไรบ้าง? อาทิตย์นี้ล่ะ? และในเดือนนี้ล่ะ?”
การตั้งเป้าหมายจะทำให้ชีวิตคุณมีระบบระเบียบมากขึ้น ถึงแม้ว่าคุณจะไม่สามารถทำตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยคุณก็จะมีความก้าวหน้าเกิดขึ้น

9. ไม่ยอมจัดลำดับความสำคัญ

งาน เงิน และชีวิตส่วนตัว การจัดลำดับความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญ แถมยังสอดคล้องกับการแบ่งเวลาอีกด้วย หากคุณไม่จัดลำดับความสำคัญให้ดี คุณก็อาจใช้เวลาไปจนหมด กับงานงานหนึ่ง จนลืมสิ่งที่สำคัญกว่าไป
เวลาที่คุณวางแผนสิ่งต่างๆ ให้คุณลองลิสต์ว่าสิ่งไหนบ้างที่คุณต้องทำ และสิ่งไหนที่ยังไม่จำเป็น หากใช้วิธีนี้ เมื่อถึงเวลาที่คุณทำหลายสิ่งหลายอย่างไม่ทัน คุณก็จะรู้ว่าสิ่งไหนควรตัดออกไปและสิ่งไหนควรจะทำเป็นอันดับแรก

10. ทำหลายอย่างมากเกินไป

การทำกิจกรรมมากเกินไปจนแทบไม่มีเวลาพัก สามารถบ่งบอกได้เลยว่าคุณบริหารเวลาไม่ดีพอ ดังนั้น อย่าใส่กิจกรรมลงในตารางเวลาที่อัดแน่นจนเกินพอดี หากคูณรู้สึกไม่สบายใจกับกิจกรรมที่มากมายขนาดนี้ คุณก็ควรลดมันลง เพราะไม่เช่นนั้นปัญหามากมายจะตามมาอย่างแน่นอน

11. ใช้ชีวิตจนหมดแรง

เครียด
เวลานึกถึงคนที่แบ่งเวลาไม่ดีหรือแบ่งไม่เป็น คุณอาจนึกถึงคนขี้เกียจที่เอาแต่นอนทั้งวัน แต่จริงๆ แล้ว คนแบ่งเวลาไม่ดีมีอยู่หลายรูปแบบ บางคนทำงานมากเกินไป บางคนก็ผลัดวันประกันพรุ่งจนต้องมาเร่งในตอนท้าย และบางคนก็อาจทำงานมากไป จนตัวเองรับไม่ไหว ซึ่งสิ่งเดียวที่คนเหล่านี้มีเหมือนกันก็คือ โอกาสที่ตัวเองจะหมดแรงลงในที่สุด
ในท้ายที่สุด คนที่ไม่ประสบความสำเร็จมักจะเหน็ดเหนื่อยจากการบริหารเวลาที่ไม่ดี ดังนั้น หากคุณมีพฤติกรรมเช่นเดียวกับสิ่งที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ คุณต้องเริ่มจัดการกับตัวเองได้แล้ว!

Source : businessinsider

19 พฤศจิกายน 2559

7 ข้อดีของ “การอยู่คนเดียว” อยู่อย่างไรให้มีความสุข


เราอาศัยอยู่ในโลกที่ต้องติดต่อสื่อสารกันตลอดเวลา จนหลงลืมความสำคัญของการอยู่คนเดียวไปแล้ว ออฟฟิศต่างๆ เริ่มไม่มีการกั้นโต๊ะทำงานให้พนักงาน ให้แชร์พื้นที่และโต๊ะทำงานร่วมกัน เด็กนักเรียนก็ต้องทำงานกันเป็นกลุ่ม เสียงแจ้งเตือนอย่างไม่หยุดหย่อนจากแอปพลิเคชั่นสนทนาต่างๆ อย่างเฟสบุ้ค ไลน์ และทวิตเตอร์ก็ยังกลายเป็นเสียงที่ได้ยินจนชิน
ความสัมพันธ์ในสังคมรูปแบบต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เราได้ใช้เวลากับตัวเองน้อยลง แม้ผู้คนจะบอกเสมอว่าการเข้าสังคมนั้นเป็นเรื่องที่ดี และการใช้เวลาอยู่ร่วมกับผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญในการเติมเต็มชีวิต แต่ถ้ามากเกินไปก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
“ความโชคร้ายของมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นจากการไม่ชอบที่จะอยู่โดยลำพัง” – ฌอง เดอ ลา บรูแยร์ (Jean de la Bruyere)
งานวิจัยหนึ่งที่ทำการศึกษานักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์จำนวน 600 คน จาก 92 บริษัท พบว่าศักยภาพของพนักงานจากบริษัทเดียวกัน มักจะไม่แตกต่างกันนัก แต่เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ แล้ว พบว่าพนักงานแต่ละที่นั้นมีศักยภาพที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก โดยพนักงานที่ทำงานได้ดีกว่ามักจะมาจากบริษัทที่ให้พื้นที่การทำงานแบบส่วนตัวเพื่อไม่ให้พนักงานถูกรบกวน แทนที่จะจัดเป็นออฟฟิศแบบเปิดดีไซน์ฮิปๆ เก๋ๆ  ซึ่ง 62% ของพนักงานที่ทำงานได้ดีที่สุดบอกว่าพวกเขามีความเป็นส่วนตัวในที่ทำงาน ในขณะที่มีเพียง 19% ของพนักงานที่ทำงานได้แย่เท่านั้นที่บอกแบบเดียวกัน และอีก 76% ของพนักงานที่ทำงานได้แย่ก็บอกว่าพวกเขามักถูกรบกวนด้วยเรื่องไร้สาระอยู่บ่อยครั้ง
การอยู่ลำพังไม่ได้มีประโยชน์แค่ในเรื่องงานเท่านั้น แต่ยังดีต่อสุขภาพจิตและอารมณ์ด้วย เพราะงั้นถ้าอยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่าล่ะก็ คุณก็ต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตคนเดียวบ้าง ข้อดีของการอยู่คนเดียวมีเยอะมากมายจนบอกได้ไม่หมด ทางเราเลยเลือกมา 7 อย่าง ที่คิดว่าดีที่สุด มาให้ทุกคนได้อ่านกันครับ 

1. ได้พักผ่อนเพื่อฟื้นฟูและเติมพลังให้ตัวเอง

เราทุกคน แม้กระทั่งคนที่ชอบเข้าสังคม ล้วนแต่ต้องการเวลาฟื้นฟูและเติมพลังให้ตัวเองบ้าง และก็คงไม่มีวิธีไหนจะดีไปกว่าการได้อยู่เพียงลำพัง ความเงียบสงบเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยฟื้นฟูคุณจากวันที่ตึงเครียดได้

2. ได้ทำอะไรที่อยากทำ

การได้ใช้เวลาร่วมกับคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่สนุก ซึ่งแน่นอนว่าต้องมาพร้อมกับการประนีประนอม ปรับตัวให้เข้ากับความต้องการและความคิดเห็นของคนอื่นๆ ด้วย  ในขณะที่การอยู่คนเดียวจะทำให้คุณมีอิสระในการทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ ใส่เสื้อผ้าแบบที่อยากใส่ กินอะไรที่อยากกิน และทำโปรเจ็คที่มีความหมายต่อคุณจริงๆ

3. ได้เรียนรู้ที่จะเชื่อในตัวเอง

อิสรภาพไม่ใช่แค่การได้ทำสิ่งที่อยากทำ แต่ยังเป็นการฝึกเชื่อในตนเองและการได้คิดโดยปราศจากความกดดันหรืออิทธิพลจากภายนอก มันช่วยให้คุณเห็นตัวตน ความคิด และสิ่งที่เหมาะกับตัวเองชัดขึ้น  เพราะเมื่อถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน คุณมักจะต้องเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา เพื่อเช็คดูว่าคุณทำตัวเหมาะสมหรือไม่ ดังนั้นการอยู่คนเดียวจึงทำให้คุณสามารถต่อยอดไอเดียต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไง และได้ค้นพบความสามารถที่แท้จริงของตัวเองโดยไม่ถูกจำกัดด้วยความคิดของผู้อื่น

4. มีความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) สูงขึ้น

ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) คือการตระหนักรู้และเข้าใจอารมณ์ของตัวเราเองและผู้คนรอบข้าง จากการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างกว่าหนึ่งล้านคนโดยเว็บไซต์ TalentSmart พบว่า 90% ของกลุ่มที่ทำงานได้มีประสิทธิภาพที่สุดมักเป็นคนที่มีอีคิวสูง และการตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness) ก็เป็นพื้นฐานที่ขาดไม่ได้เช่นกัน เพราะคนเราต้องอาศัยการทบทวนตัวเองอย่างละเอียดอยู่เสมอ ซึ่งมักจะทำได้ดีที่สุดเมื่อได้อยู่ตามลำพัง

5. มีความมั่นใจในตัวเองสูงขึ้น

การได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองอย่างมีความสุขเป็นตัวกระตุ้นความมั่นใจที่ดีทีเดียว ถ้าคุณรู้สึกเบื่อหรือกระวนกระวายใจเวลาต้องอยู่คนเดียว นั่นอาจทำให้คุณทึกทักไปว่าตัวเองเป็นคนน่าเบื่อ และจะสนุกได้ก็ต่อเมื่ออยู่กับคนอื่นเท่านั้น แต่ถ้าคุณเรียนรู้ที่จะเพลิดเพลินกับการอยู่คนเดียวได้ คุณก็จะมีความมั่นใจมากขึ้นเพราะรู้ว่าตัวเองไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด

6. รู้สึกดีกับคนอื่นมากกว่าเดิม

ว่ากันว่า ยิ่งห่างไกล หัวใจยิ่งผูกพัน การอยู่คนเดียวจึงเป็นช่วงเวลาที่คุณจะได้มองคนรู้จักในมุมใหม่ๆ และได้เห็นคุณค่าในตัวตนและการกระทำของพวกเขามากขึ้นกว่าเดิม

7. ทำสิ่งต่างๆ สำเร็จได้มากขึ้น

ความคิดที่ว่า ยิ่งช่วยกันหลายคน งานก็ยิ่งเบาลง  อาจจะใช้ได้กับงานที่ต้องใช้แรง แต่ไม่สามารถนำไปใช้กับงานที่ต้องใช้ความคิดได้ แม้แต่การระดมสมอง หรือ Brainstorm ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมใช้กันนั้น ในความจริงแล้วก็ไม่ได้ผลดีเท่าไหร่นัก อย่างที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Texas A&M พบว่า การระดมสมองกันเป็นกลุ่มนั้นไม่ได้เกิดประโยชน์เพราะจะทำให้เกิด “การครอบงำทางความคิด” (Cognitive Fixation)  สมาชิกกลุ่มมักมีแนวโน้มที่จะยึดติดกับไอเดียของคนอื่น จนทำให้คิดอะไรใหม่ๆ ไม่ออก มากคนก็มากความ ดังนั้นการอยู่คนเดียวจึงเป็นการตัดปัญหาเรื่องความคิดวอกแวก และยังทำให้งานสำเร็จได้ดีกว่าด้วย
การอยู่คนเดียวมีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิดนะ เพราะงั้นอาทิตย์นี้ ลองแบ่งเวลาส่วนนึงเพื่ออยู่กับตัวเองดูบ้างสิ!

Source : TalentSmart


18 พฤศจิกายน 2559

นิสัย 8 อย่างของ ‘ผู้ประกอบการ’ ที่จะนำพาธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ



การเป็นผู้ประกอบการนั้นเป็นอะไรที่ต้องใช้ความอดทนอย่างสูง เพราะว่าการจะเริ่มธุรกิจใหม่ได้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเอาซะเลย และต้องรับมือกับความท้าทายจำนวนมากเป็นเวลานานๆ ดังนั้นความตั้งใจและการมีวิสัยทัศน์ที่ดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อย แต่แค่สองสิ่งนี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะนำพาธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จได้ เพราะยังต้องมีลักษณะนิสัยอีกมากมายเข้ามาร่วมด้วย โดยทางสำเร็จดอทคอมก็ได้รวบรวมนิสัยที่สำคัญทั้ง 8 ข้อของเหล่าผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จมาไว้ที่นี่แล้ว ซึ่งผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จในระยะยาว อย่าง Howard Schultz จาก Starbucks และ Steve Jobs จาก Apple นั้น ล้วนแล้วแต่มีนิสัยและวิธีการที่คล้ายๆ กันตามลักษณะนิสัยเหล่านี้ด้วย!

1. ไม่ยอมแพ้และไม่ท้อถอย

สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับให้ได้ในการทำธุรกิจก็คือ จำนวนคนที่ล้มเหลวนั้นมีมากยิ่งกว่าคนที่ประสบความสำเร็จเสมอ เพราะพวกเขาเหล่านั้นยอมแพ้เร็วเกินไป ผู้ประกอบการที่ยิ่งใหญ่ส่วนมากมักเคยล้มเหลวมาก่อนแต่พวกเขาไม่เคยยอมแพ้

2. เรียนรู้จากความผิดพลาด

ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จมักจะเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ พวกเขาจะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดแทนที่จะพยายามโทษคนอื่น รวมทั้งไม่หยุดที่จะพัฒนาตนเองและธุรกิจ อย่าง Howard Schultz ที่ถึงแม้บริษัท Starbucks จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แล้ว แต่เขาก็ไม่เคยหยุดเรียนรู้และพัฒนาตนเองเลย

3. มีกลยุทธที่ดี

เมื่อรายได้บริษัทกำลังไปได้สวย ผู้ประกอบการจำนวนมากก็จะทำการขายสินค้าชิ้นนั้นต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะขายไม่ได้ หรือมีคู่แข่ง แต่ Steve Jobs กลับไม่คิดแบบนั้น เขาจะสั่งยกเลิกการผลิตของ สินค้าที่ขายดีที่สุดของเขาทุกสองถึงสามเดือน เพื่อที่จะรักษาโมเมนตัมและภาพลักษณ์การเติบโตของ Apple ไว้ วิธีแบบนี้เป็นอะไรที่เสี่ยงแต่ส่งผลดีกับบริษัทในระยะยาว

4. โฟกัสเฉพาะวิธีการที่ดีที่สุด

สตาร์ทอัพทั่วไปมักจะมองหาแต่วิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยไม่คำนึงถึงผลเสียในระยะยาว และไม่ได้มองถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จนั้นจะคำนึงถึงผลลัพธ์ของวิธีการแก้ปัญหาในระยะยาวแทนที่จะเลือกใช้วิธีง่ายๆ แก้ปัญหา ซึ่งจะเพิ่มปัญหาให้กับบริษัทในภายหลังได้

5. มองหาพาร์ทเนอร์ที่ดีหรือมืออาชีพเข้ามาช่วย

อย่าคิดว่าปัญหาที่คุณเจออยู่มันจะถูกแก้ไขด้วยตัวของมันเอง ลองมองหามืออาชีพในสายงานนั้นๆ มาช่วยแก้ไข หรือพยายามมองหาพาร์ทเนอร์ที่เขามีกลุ่มลูกค้ากลุ่มเดียวกับเรา ผู้ประกอบการที่มีนิสัยมองการณ์ไกล มักจะมองหาวิธีการให้สินค้าหรือแบรนด์เป็นที่จดจำและเขาไม่ได้ทำทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว

6. เสริมสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจ

มีความจริงอย่างหนึ่งที่บอกว่า “ความสำเร็จของธุรกิจนั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณรู้จักใคร” จงเสริมสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หรือ บริษัทคู่แข็งของเราก็ตาม รักษาความสัมพันธ์นั้นไว้ เพราะในอนาคตไม่แน่อาจจะมีโอกาสได้ขอความช่วยเหลือจากพวกเขา

7. อยู่ในสังคมที่ดี

ผู้ประกอบการที่ดีนั้นจะเลือกเพื่อนร่วมงานที่เก่งและมีความสามารถ ไม่ว่าเขาจะมีปัญหาอะไร เขาก็รู้ว่าปัญหาแบบนี้ควรจะไปปรึกษาใคร สังคมที่เขาอยู่ก็เป็นสังคมที่มีแต่คนคิดใหญ่และคิดบวก เพราะเหตุนี้มันถึงทำให้พวกเขาก้าวไปข้างหน้าได้ไกลและมั่นคง

8. ทำงานหนักและนานกว่าคนทั่วไป

ไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องใช้เวลาทำงานนานกว่าคนทั่วไป แต่พวกเขาทำงานได้มากกว่าคนอื่นโดยวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูง พวกเขาจะรู้ว่าควรจะโฟกัสที่อะไรก่อน และมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองทำ และยังทำงานแบบเสมอต้นเสมอปลายอีกด้วย
แนวทางของผู้ประกอบการที่ดีนั้นขึ้นอยู่ที่วิสัยทัศน์ ความตั้งใจทำงาน วิธีการทำงานให้ลุล่วง และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และเมื่อนักลงทุนเห็นผู้ประกอบการที่มีลักษณะนิสัยที่กล่าวมาข้างต้น เขาก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่แน่นอน
Source : Entrepreneur

15 พฤศจิกายน 2559

15 สิ่งที่ “คนมีความมั่นใจในตัวเอง” จะไม่ทำกันเด็ดขาด



ความมั่นใจ
“คนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง” มักเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง และคิดว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน การที่คุณไม่รู้สึกมั่นใจในตัวเอง ถือเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก หากตัวคุณยังขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วจะคาดหวังให้คนอื่นมาเชื่อมั่นในตัวคุณได้เช่นไร? ต่อไปนี้ก็คือ 15 สิ่งที่ “คนมีความมั่นใจในตัวเอง” จะไม่ทำกันเด็ดขาด ถ้าใครยังมีพฤติกรรมเหล่านี้อยู่ จงรีบแก้ไขโดยด่วนนะครับ

1.พวกเขาจะไม่หาข้ออ้าง

ผู้คนที่มีความมั่นใจสูง จะเป็นเจ้าของความคิดและการกระทำของตนเอง แทนที่พวกเขาจะโทษการจราจรที่ติดขัด ทำให้มาถึงที่ทำงานไม่ตรงเวลา พวกเขาจะยอมรับออกมาเลยว่า “ผมมาสายครับ” พวกเขาจะไม่แก้ตัวเรื่องงานที่บกพร่องด้วยการอ้างว่า “ไม่มีเวลา” หรือ “ความสามารถยังไม่ถึงขั้น” เพราะพวกเขาย่อมหาเวลาให้งานได้เสมอ รวมถึงใส่ใจจะปรับปรุงตนเองจนกระทั่งความสามารถ ถึงขั้น ได้เสมอ

2.พวกเขาจะไม่หลีกเลี่ยงสิ่งที่ดูน่ากลัว

ผู้คนที่มีความมั่นใจสูง จะไม่ยอมปล่อยให้ความกลัวเข้าครอบงำ พวกเขารู้ดีว่าสิ่งที่พวกเขากลัว มักจะเป็นสิ่งที่พวกเขา ‘ต้องลองทำ’ เพื่อที่จะพัฒนาตนเองไปสู่อีกขั้นของความสำเร็จ

3.พวกเขาจะไม่มัวขดตัวอยู่ใน ‘เขตปลอดภัย’

ผู้คนที่มีความมั่นใจสูงจะหลีกเลี่ยงการหลบอยู่ใน ‘เขตปลอดภัย(comfort zone)’ เพราะพวกเขารู้ว่าการไม่ยอมรับความเสี่ยง มีแต่จะยิ่งทำให้ความฝันของพวกเขาเลื่อนหายไปอย่างช้าๆ พวกเขามักจะก้าวออกจาก comfort zone ของตัวเองอยู่บ่อยๆ และสิ่งนี้ก็ทำให้พวกเขาพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ การได้ลองทำอะไรน่าตื่นเต้นและแปลกใหม่คือสิ่งสำคัญในการประสบความสำเร็จ

4.พวกเขาจะไม่ผัดวันประกันพรุ่ง

ผู้คนที่มีความมั่นใจสูงจะรู้ดีว่าแผนการที่ดีจะต้องสำเร็จภายใน ‘วันนี้’ ไม่ใช่สำเร็จภายใน ‘วันหลัง’ พวกเขาจะไม่รอคอย ‘เวลาที่ใช่’ หรือ ‘สถานการณ์ที่เหมาะเจาะ’ เนื่องจากการ ‘รอเวลา’ แท้จริงแล้วมีพื้นฐานมาจากความกลัวการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น พวกเขาจึงมักลงมือทำ เดี๋ยวนี้ และวันนี้ แล้วความคืบหน้าก็จะตามมาเอง

5.พวกเขาจะไม่ยึดติดกับความคิดเห็นของผู้อื่น

ผู้คนที่มีความมั่นใจสูง จะไม่ยึดติดกับคำวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบของผู้อื่น รวมถึงปัญหาต่างๆที่พวกเขาไม่สามารถแก้ไขได้ แต่พวกเขาจะสนใจเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของผู้อื่น และสิ่งต่างๆที่พวกเขาสามารถทำเพื่อช่วยพัฒนาสังคมและโลกให้ดีขึ้นได้ เรื่องเพื่อนก็เช่นกัน พวกเขารู้ดีว่าเพื่อนแท้จะยอมรับในแบบที่พวกเขาเป็นได้ พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องสนใจเสียงภายนอกต่างๆมากจนเกินไป

6.พวกเขาจะไม่ตัดสินคนอื่น

ผู้คนที่มีความมั่นใจสูงจะไม่สนใจเรื่องราว ‘ดราม่า’ หรือเรื่องราวที่ไร้ซึ่งสาระและความจำเป็น พวกเขาจะไม่ให้ร้ายผู้อื่นลับหลัง หรือการเข้าร่วมวงซุบซิบนินทาเพื่อนร่วมงาน วิจารณ์คนนั้นคนนี้ไปทั่ว เพราะพวกเขารู้ดีว่า การทำพฤติกรรมเช่นนี้ มันไม่สมควรเป็นอย่างมาก ข้อมูลที่เอามาซุบซิบนินทากันก็ใช่ว่าจะเป็นความจริง มีแต่จะทำให้บุคคลที่สามนั้นเสียหายเปล่าๆ พวกเขาจะรู้สึกพอใจในสิ่งที่ตนเป็น และไม่จำเป็นที่จะต้องไปดูถูกคนอื่น

7.พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ความขาดแคลนทรัพยากรมาเป็นอุปสรรค

ผู้คนที่มีความมั่นใจสูง จะสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรใดๆ เท่าที่หาได้ (ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่) พวกเขารู้ดีว่า สิ่งต่างๆ สามารถนำมาดัดแปลงเพื่อใช้อย่างสร้างสรรค์ได้ ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง กล่าวได้ว่า เมื่อพบกับปัญหาการขาดแคลน พวกเขาจะไม่มัวจมจ่อมอยู่ในความสิ้นหวัง แต่จะมุ่งมั่นหาทางแก้ไขปัญหามากกว่า

8.พวกเขาไม่ทำการเปรียบเทียบ

ผู้คนที่มีความมั่นใจสูง จะไม่แข่งขันกับใครอื่นนอกเหนือไปจากตัวของพวกเขาเอง เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าแต่ละคนต่างมีชีวิตความเป็นอยู่และสภาพแวดล้อมทางสังคมที่แตกต่างกัน ดังนั้นการจะเปรียบเทียบคนสองคนจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

9.พวกเขาไม่สนว่าจะต้องคอยเอาอกเอาใจใคร

ผู้คนที่มีความมั่นใจสูง จะไม่พยายามเอาอกเอาใจใครต่อใคร เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่า ผู้คนบนโลกไม่สามารถเข้ากันได้ดีหมดทุกคนหรอก ดังนั้นพวกเขาจะให้ความสำคัญกับคุณภาพที่ดีของสายสัมพันธ์มากกว่าที่จะเพิ่มปริมาณความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวย

10.พวกเขาจะไม่รอจนกว่าทุกอย่างจะเพอร์เฟค

ไม่มีสิ่งไหนในโลกหรือใครในโลกที่มีครบไปหมดทุกอย่าง การทำธุรกิจก็เช่นกัน การที่เราเตรียมรับมือกับปัญหาถือเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าผู้ประกอบการไม่มีทางเห็นปัญหาทุกปัญหาล่วงหน้าได้ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จึงเป็นทักษะที่สำคัญมากถ้าเราจะรอจนทุกอย่างมันพร้อม เราคงไม่มีทางได้เริ่มแน่นอน

11.พวกเขาสามารถยืนหยัดยอมรับข้อเท็จจริงอันน่าเศร้าได้

ผู้คนที่มีความมั่นใจสูง จะทนเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆตั้งแต่มันยังเนิ่นๆ ก่อนที่มันจะบานปลายหรือสายเกินแก้เนื่องจากการหลอกตัวเองว่าปลอดภัยมีแต่จะทำให้ปัญหาลุกลามมากยิ่งขึ้น พวกเขาจะยอมมานั่งจับเข่าคุยกับผู้ร่วมงาน ถึงประเด็นที่ละเอียดอ่อนและเปราะบาง เพื่อสะสางปัญหา ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเสริมสร้างความเชื่อใจกันและกันไปในตัวด้วย

12.พวกเขาไม่ล้มเลิกแผนการเพียงเพราะปัญหาเล็กน้อย

ผู้คนที่มีความมั่นใจสูง จะพยุงตัวเอง แล้วลุกขึ้นทุกครั้งที่พลั้งพลาดหกล้ม เพราะพวกเขารู้ดีว่าความล้มเหลวเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในเส้นทางแห่งความสำเร็จ แล้วพวกเขาจะเริ่มทำตัวเป็นนักสืบ คอยเสาะหาเบาะแสที่นำไปสู่อุปสรรค หลังจากนั้นก็นำมาปรับแผนงานให้ไฉไลกว่าเดิม แล้วลองก้าวใหม่อีกครั้ง

13.พวกเขาไม่รอคำอนุญาตจากผู้ใดก่อนการตัดสินใจลงมือ

ผู้คนที่มีความมั่นใจสูง จะลงมือทำโดยปราศจากความลังเล พวกเขาจะคอยย้ำเตือนตัวเองทุกๆวันว่า “ถ้าฉันไม่ทำ แล้วใครจะทำ?”

14.พวกเขาจะไม่จำกัดกรอบตัวเอง

ผู้คนที่มีความมั่นใจ จะไม่จำกัดตัวเองให้ใช้แค่วิธีใดวิธีหนึ่งเท่านั้น พวกเขาจะลองทำหลายๆวิธีที่คิดออกและทำได้เพื่อให้งานออกมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นพวกเขาจะไม่หยุดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนกว่าจะได้ยุทธวิธีที่จะทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจที่สุด โดยที่ใช้เวลารวมถึงทรัพยากรน้อยที่สุด

15.พวกเขาจะไม่เชื่อหรือยอมรับเรื่องที่คนอื่นบอกว่าเป็น “จริง” จนกว่าจะได้คิดอย่างรอบคอบแล้ว(บนอินเตอร์เน็ตก็เช่นกัน)

บุคคลที่มีความมั่นใจ เวลาที่ได้อ่านบทความอะไรก็ตามในโลกออนไลน์จะไม่เชื่อในทันที พวกเขาจะพิจารณาบทความเหล่านั้นด้วยสายตาอันแหลมคม และใช้ความสงสัยที่ดีให้เป็นประโยชน์ ท้ายที่สุดก็จะเลือกเฟ้นเอาเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับชีวิตมาปรับใช้

Source : LifeHack